“อัญชลี” ผู้บริหารปางช้างแม่สา อ.แม่ริม รู้แล้วใครฉ้อโกงเงินปางช้างแม่สากว่า 100 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2565 นางอัญชลี กัลมาพิจิตร ผู้บริหารปางช้างแม่สา อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ทายาทพันล้านของนายชูชาติ กัลมาพิจิตร ผู้ก่อตั้งปางช้างแม่สา ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีที่ปางช้างแม่สาได้ปิดทำการมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว เนื่องจากปางช้างประสบกับภัยธรรมชาติน้ำป่าไหลหลากเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยเกิดเหตุมีท่อนซุงขนาดใหญ่ไหลตามน้ำด้วยความแรงกระแทกจนสะพานพัง ทำให้ปางช้างไม่มีสะพานสำหรับให้นักท่องเที่ยวข้ามไปชมช้าง จึงจำเป็นต้องปิดปางช้างตั้งแต่นั้นมา สร้างความผิดหวังให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่ต้องการเข้าไปเยี่ยมชมช้าง โดยเฉพาะเด็กๆที่เดินทางมากับครอบครัว
ในขณะที่การท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ส่งสัญญาณว่าดีขึ้น แต่ปางช้างแม่สากลับปิดอย่างไม่มีกำหนด เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางอัญชลีกล่าวว่าหลังจากน้ำแม่สาลดลง ตนได้ให้บริษัทก่อสร้างมาวัดคำนวณ ออกแบบสะพาน เพื่อสร้างใหม่ มีการนำเสนอค่าใช้จ่ายในการสร้างสะพานและซ่อมแซมในส่วนที่ถูกน้ำเซาะพังเสียหายไว้ประมาณ 2,600,000 บาท (สองล้านหกแสนบาท)
ที่ผ่านมานางอัญชลีได้พยายามขอนัดเบิกเงินจากบัญชีที่นายชูชาติ กัลมาพิจิตรได้ทำพินัยกรรมมอบให้ปางช้างแม่สาไว้เป็นทุนหมุนเวียนจำนวนเงิน 15 ล้านบาท แต่ถูกนางฐิติรัตน์ กัลมาพิจิตร อดีตภรรยาคนสุดท้ายและเป็นผู้จัดการมรดกร่วมปฏิเสธ โดยอ้างว่ายังมีคดีขอแบ่งสินสมรสค้างอยู่ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ และนางฐิติรัตน์ได้ถูกนางอัญชลียื่นถอนออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกร่วม เพราะไม่ทำหน้าที่ นางฐิติรัตน์จึงหยุดทุกอย่าง ทั้งๆที่ตามกฏหมายแล้วจะต้องทำหน้าที่จนกว่าศาลจะพิจารณาและมีคำสั่งฯ
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา นางอัญชลีได้เดินทางไปที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ในเรื่องการยื่นถอนผู้จัดการมรดกร่วม รวมถึงได้เจรจาขอแบ่งเงินในบัญชีดังกล่าวมาก่อนครึ่งหนึ่งเพื่อนำมาสร้างสะพาน แต่ได้รับการปฏิเสธจากนางฐิติรัตน์อีกครั้ง ทนายความของนางอัญชลีจึงได้เสนอลดจำนวนเงินลง ขอเบิกเพียงสามล้านบาท เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายพยุงปางช้างแม่สา แต่นางฐิติรัตน์ก็ยังไม่ตกลง จึงทำให้นางอัญชลีไม่สามารถจัดการอะไรได้
นางอัญชลียังได้พูดถึงเรื่องคดีลักทรัพย์ คดีนี้เกิดจากการที่นางอัญชลีเข้าตรวจสอบทรัพย์สินภายในบ้านของบิดาเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 และพบว่ามีทรัพย์สินสูญหายไปหลายรายการ ซึ่งหลังจากที่นายชูชาติเสียชีวิต นางฐิติรัตน์ได้ถือสิทธิ์ครอบครองบ้าน ห้ามไม่ให้ตนเข้าไปในบ้าน มีการสร้างประตูกั้นเพิ่มเป็นระยะก่อนถึงตัวบ้าน นางฐิติรัตน์เป็นผู้ถือกุญแจเข้าไปภายในบ้านรวมถึงถือกุญแจเปิดปิดตู้เซฟทุกใบอยู่คนเดียว ตนจึงต้องแจ้งความดำเนินคดีกับนางฐิติรัตน์ ส่วนเรื่องเงินจำนวน 117 ล้านบาทของบริษัท ปางช้างแม่สา จำกัด หายไปจากบัญชีจำนวน 4 บัญชี ตนได้ฟ้องธนาคาร เป็นคดีแพ่งที่ศาลกรุงเทพใต้เพื่อเรียกคืนเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย รวมเป็นเงิน 125 ล้านบาท
นอกจากนี้ตนยังได้ยื่นขอเอกสารย้อนหลังใบเบิกเงิน(สลิปการเบิกเงิน) ทุกรายการตาม Statement ทั้ง4 บัญชี ตั้งแต่ปี 2562-2564 ตนได้เห็นเอกสาร จึงรู้แล้วว่าใครเป็นผู้เบิกเงินของบริษัทไป แต่ยังไม่ขอพูด ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลกันไปก่อนตามพยานหลักฐาน ซึ่งหลังจากนี้ตนก็คงต้องไปให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนเช่นกัน อย่างไรก็ตามตนขอยืนยันว่าเงินจำนวน 117 ล้านบาท ถูกเบิกออกไปร้อยกว่าครั้งในช่วงปี 2562-2564 ไม่ได้ถูกใช้ในบริษัท เป็นการเบิกเงินหลังจากที่นายชูชาติเสียชีวิตแล้ว มีการปิดบังไม่ให้ตนรู้ และตนไม่สามารถเบิกเงินในสี่บัญชีนี้ได้ มีเพียงคนสามคนสามารถเบิกได้ และเหลือเพียงสองคน เพราะบิดาตนได้เสียชีวิตไป จึงมีคนสองคนที่เหลือมีอำนาจในการเบิกเงินได้ โดยเป็นใครคนใดคนหนึ่งลงชื่อเบิกก็ได้ พร้อมประทับตราบริษัท
วันนี้ตนขอขอบคุณที่ พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้มาดูแลคดีเหล่านี้และสั่งการให้เร่งทำคดีด้วยตนเองที่สภ.แม่ริม ตนจึงมั่นใจว่าในครั้งนี้ตนจะได้รับความยุติธรรมหลังจากรอคอยมาเป็นเวลาเกือบ 4 ปี