นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ยังนิยมนั่งสามล้อปั่นชมเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเหลือไม่ถึง 30 คัน ถือเป็นสัญลักษณ์ของเชียงใหม่รุ่นสุดท้าย ไม่มีคนรุ่นใหม่สืบทอด จนมีสโลแกนเปรียบเปรยไว้ว่า ในความแข็งแกร่ง ต้องเป็นน่องสามล้อปั่น ข้อมือของนักมวย แข็งแกร่งที่สุด
นักท่องเที่ยวจากยุโรปคึกคัก นั่งรถสามล้อปั่นชมทัศนียภาพตั้งแต่สวนสาธารณหนองบวกหาด ไปตามถนนคูเมืองด้านในผ่านประตูท่าแพเลี้ยว ไปตามถนนราชดำเนิน และไปสิ้นสุด ที่วัดพระสิงห์วรวิหาร ในตัวเมืองเชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเส้นทางหลักการท่องเที่ยวตัวเมืองเชียงใหม่ โดยคนขี่สามล้อปั่น ก็จะได้ค่าจ้างคันละ 200 บาท บางคนก็จะได้ค่าทิปจากนักท่องเที่ยวเพิ่มด้วย ในวันนี้มีจำนวน 24 คัน
นาย มานิตย์ ไชยวงศ์ อายุ 70 ปี ปั่นสามล้อมาตั้งแต่หนุ่มๆ หรือตั้งแต่ปี 2518 หรือนานถึง 47 ปี ถือเป็นน่องเหล็กรุ่นแรกๆ ในอาชีพนี้ จนเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่ แต่ปัจจุบันเหลืออาชีพนี้ไม่ถึง 40 คัน ปกติก็จะจอดรับลูกค้าตามหน้าตลาดต้นลำไย ส่วนใหญ่อายุก็จะมากกันแล้ว ก็จะเลิกอาชีพไป แต่ตนเองก็ยังจะปั่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่ไหว ที่จำนวนลดน้อยลง มีทั้งอายุมากเลิกอาชีพไป หรือเสียชีวิตไปแล้วก็มาก ทั้งนี้เชื่อว่าอาชีพสามล้อปั่น จำนวนกว่า 30 คัน ที่เหลือ น่าจะเป็นรุ่นสุดท้ายแล้ว เนื่องจากไม่มีเด็กรุ่นใหม่หรือลูกหลาน สืบทอดอาชีพนี้ สำหรับอาชีพปั่นสามล้อ จนมีการเปรียบเปรยหรือสโลแกน ความแข็งแกร่ง ต้องน่องคนปั่นสามล้อ ส่วนข้อมือแข็งแกร่งต้องเป็นของนักมวย
ส่วนข่วงประตูท่าแพ ในตัวเมืองเชียงใหม่ยังคงเป็นจุดเช็คอินของนักท่งอเที่ยวต่างถิ่นและชาวต่างชาติที่มาถ่ายภาพ ที่พลาดไม่ได้ก็จะมาถ่ายกับฝูงนกพิราบแต่ต้องมีเทคนิคในการถ่าย ซึ่งก็จะมีช่างภาพอิสระมารับถ่ายให้ นักท่องเที่ยวก็จะให้ทริปตอบแทน ถ้ามาแล้ว ไม่มาถ่ายภาพจุดนี้ เหมือนมาไม่ถึงเชียงใหม่