เชียงใหม่ พบรอยฝ่ามือพระมหาโมคคัลลานะบนโขดหิน บนวัดพระธาตุดอยสะเก็ด พร้อมเปิดเส้นทางธรรมแห่งใหม่(คลิป)

พบรอยฝ่ามือพระมหาโมคคัลลานะบนโขดหิน บนวัดพระธาตุดอยสะเก็ด พร้อมเปิดเส้นทางธรรมแห่งใหม่เพื่อใช้สำหรับพระภิกษุสงฆ์ในการฝึกสมาธิ เดินจงกรม และปฏิบัติวิปัสสนา

(12 กย.68) ที่วัดพระธาตุดอยสะเก็ด พระอารามหลวง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ พระราชโพธิวรคุณ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสะเก็ด พระอารามหลวง (รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่) พร้อมศรัทธาประชาชนชาวดอยสะเก็ด ร่วมกันเปิดเส้นทางธรรมแห่งใหม่ เพื่อใช้สำหรับพระภิกษุสงฆ์ในการฝึกสมาธิ เดินจงกรม และปฏิบัติวิปัสสนา เส้นทางนี้เดินลงเขา มี บันไดเดินขึ้นลงถึง 91 ขั้น โดยปัจจุบันมีพระภิกษุสงฆ์กว่า 70 รูปจำพรรษาและศึกษาเล่าเรียนพระธรรมที่วัดแห่งนี้

นอกจากนั้นยังเป็นสถานที่สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาธรรมชาติ โดยชาวบ้านเผยว่าได้พบนิมิตและร่องรอยคล้าย “รอยฝ่ามือของพระมหาโมคคัลลานะ” พระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า บริเวณโขดหินด้านล่างข้างบันไดนาค ทางขึ้น วัดพระธาตุดอยสะเก็ดอักด้วย

พระราชโพธิวรคุณ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสะเก็ด พระอารามหลวง (รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่) เปิดเผยว่า ทางวัดได้จัดทำ “เส้นทางธรรม” สำหรับพระภิกษุสงฆ์ในการฝึกสมาธิ เดินจงกรม และปฏิบัติวิปัสสนา นอกจากนั้นยังเป็นสถานที่สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาธรรมชาติ โดยชาวบ้านเผยว่าได้พบนิมิตและร่องรอยคล้าย “รอยฝ่ามือของพระมหาโมคคัลลานะ” พระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า บริเวณโขดหินด้านล่างข้างบันไดนาค ทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสะเก็ดอักด้วย

อย่างไรก็ตาม วัดพระธาตุดอยสะเก็ดยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและศรัทธาที่สำคัญ มีรอยพระพุทธบาทคู่ เบื้องซ้ายและเบื้องขวา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีความยาว 31 เซนติเมตร อายุกว่า 2,500 ปี และอีกจุด นักท่องเที่ยว จะเดินขึ้น บันไดบรมสุข จำนวน 227 ขั้นจากบริเวณวัดพระธาตุดอยสะเก็ด ขึ้นไปกราบไหว้สัการะ พระพุทธมหาจักรพรรดิ หรือหลวงพ่อพระเจ้าเศรษฐีเก้าล้านโกฎิ องค์ใหญ่ มีที่พุทธลักษณะที่งดงาม เพื่อขอพร และบริเวณลานหน้า พระพุทธมหาจักรพรรดิ ยังสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ ระยะไกล หากท้องฟ้าปลอดโปร่ง ทั้งที่มี สกายวอล์ค จุดชมวิวแห่งใหม่ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบดอยได้อย่างงดงาม กลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้แสวงหาธรรม

เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ผนึกกำลังทุกภาคส่วน ขับเคลื่อน “12 เดือน 12 เทศกาล” สู่ World Festival Destination ตอกย้ำความเป็นเมืองเทศกาลโลก กระตุ้นเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวได้ทั้งปี(คลิป)

เชียงใหม่ผนึกกำลังทุกภาคส่วน ขับเคลื่อน “12 เดือน 12 เทศกาล” สู่ World Festival Destination ตอกย้ำความเป็นเมืองเทศกาลโลก กระตุ้นเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวได้ทั้งปี


วันนี้( 9 กย.68) ที่โรงแรมเซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยนานอิทธิรัฐ สินารักษ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าว ประกาศเดินหน้าโครงการ “เชียงใหม่ 12 เดือน 12 เทศกาล”อย่างเป็นทางการ โดยผนึกกำลังทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อใช้ “เทศกาล” เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยกระดับการท่องเที่ยว และส่งต่อความสุขให้ผู้มาเยือนจากทั่วโลก

นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า “เชียงใหม่ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคเหนือ แต่ยังเป็นเมืองวัฒนธรรมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 700 ปี ปัจจุบันเชียงใหม่ได้รับการยอมรับในระดับสากลในฐานะ World Festival and Event City จากสมาคมงานเทศกาลนานาชาติ (IFEA) และวันนี้ เรากำลังต่อยอดจุดแข็งนี้ผ่านปฏิทิน ‘12 เดือน 12 เทศกาล’ ที่จะทำให้เชียงใหม่เป็นเมืองที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี”

ด้านนานอิทธิรัฐ สินารักษ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า โครงการ “12 เดือน 12 เทศกาล” ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้าง City Branding ของเชียงใหม่ โดยรวบรวมเทศกาลเด่นตลอด 12 เดือน อาทิ เทศกาลดอกไม้เดือนกุมภาพันธ์ เทศกาลสงกรานต์ล้านนาในเดือนเมษายน เทศกาลยี่เป็งเดือนพฤศจิกายน และ Chiang Mai Countdown เดือนธันวาคม ตลอดจนกิจกรรมด้านอาหาร สุขภาพ กีฬา และวิถีชีวิตชุมชน ที่จะสลับหมุนเวียนตลอดปี เพื่อสร้างแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติให้มาเยือนอย่างต่อเนื่อง

การผนึกกำลังครั้งนี้ไม่เพียงสร้าง ปฏิทินเทศกาลต่อเนื่อง แต่ยังสร้างเครื่องมือทางเศรษฐกิจใหม่ที่ช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชน เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และเสริมความแข็งแกร่งด้านอัตลักษณ์เมืองล้านนา เชียงใหม่จึงพร้อมนำเสนอ “365 วันพันประสบการณ์” แก่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทั้งในมิติศิลปวัฒนธรรม ธรรมชาติ ธุรกิจ และไลฟ์สไตล์
ซึ่งเชียงใหม่พร้อมแล้วที่จะต้อนรับผู้มาเยือนด้วยพลังของเทศกาล ยกระดับเศรษฐกิจ กระตุ้นการท่องเที่ยว และตอกย้ำสถานะ “เมืองเทศกาลโลก” อย่างยั่งยืน

เชียงใหม่ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี จัดการแข่งขันโครงการ “Big C ดนตรีไทย ปีที่ 4” รอบชิงชนะเลิศระดับภูมิภาค ที่จังหวัดเชียงใหม่(คลิป)

กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี จัดการแข่งขันโครงการ “Big C ดนตรีไทย ปีที่ 4” รอบชิงชนะเลิศระดับภูมิภาค ที่จังหวัดเชียงใหม่

วันนนี้(7 กย.68) ที่บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า สาขาเชียงใหม่ 2 คุณฐาปณี เตชะเจริญวิกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการแข่งขันโครงการ Big C ดนตรีไทย ปีที่ 4 ภายใต้แนวคิด “โสตศิลป์สืบสานดนตรีไทย เพราะดนตรีไทยคือสมบัติของแผ่นดิน”

โครงการนี้จัดขึ้นเพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ส่งเสริมศักยภาพและทักษะทางดนตรีไทยของเยาวชนและครูดนตรี ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมในรอบคัดเลือก มีเยาวชนส่งผลงานเข้าร่วมแข่งขันกว่า 1,900 ทีม ทั่วประเทศ โดยโครงการดังกล่าวถือว่าได้เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้แสดงความสามารถสู่สาธารณชน ณ ห้างบิ๊กซี เพื่อชิงแชมป์ในระดับภูมิภาค และเป็นตัวแทนในการเข้าแข่งขันระดับประเทศเพื่อชิง 12 ถ้วยพระราชทาน
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมทุนการศึกษาและรางวัลรวมมูลค่ากว่า 850,000 บาท จำนวน 188 รางวัล

ซึ่งในปีนี้ บิ๊กซี จัดการประกวดแข่งขันในบิ๊กซี 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ณ บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า สาขาเชียงใหม่ 2 ภาคกลางและภาคตะวันออก ณ บิ๊กซี สาขาราชดำริภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ บิ๊กซี สาขาขอนแก่น 1 ภาคใต้และภาคตะวันตก ณ บิ๊กซี สาขาสุราษฎร์ธานี


สำหรับการแข่งขันครั้งนี้ เปิดโอกาสให้เยาวชนจากทั่วภูมิภาคเหนือได้แสดงความสามารถในประเภทต่าง ๆ ทั้ง ประเภทเดี่ยวและคู่ (รุ่นอายุ 6-12 ปี และ 13-19 ปี) และ ประเภท Trio (รุ่นอายุ 6-15 ปี และ 16-25 ปี) ซึ่งเป็นรายการใหม่ที่ผสมผสานเครื่องดนตรีไทยร่วมกับเครื่องดนตรีสากล ผู้ชนะจะเป็นตัวแทนของภาคเหนือ เพื่อเข้าแข่งขันในรอบชิงแชมป์ระดับประเทศ ชิง 12 ถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในเดือนตุลาคม 2568 นี้

เชียงใหม่ บริษัท ทีซีอี โปรเจก จำกัด เปิดตัวระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ พลังงานสะอาดเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน (Green Energy Storage Solutions)(คลิป)

บริษัท ทีซีอี โปรเจก จำกัด เปิดตัวระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ พลังงานสะอาดเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน (Green Energy Storage Solutions)

วันที่ 5 กันยายน 2568 ที่ บริษัท ทีซีอี โปรเจก จำกัด นายธนพล ทุมพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีอี โปรเจก จำกัด เป็นประธานเปิดตัวระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ BESS พลังงานสะอาดเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน (Green Energy Storage Solutions) ที่บริษัท ทีซีอี โปรเจก จำกัด ผลิตขึ้นเพื่อให้การจัดเก็บพลังงานเกิดความปลอดภัย เสถียร และคุ้มค่าต่อการใช้งานมากขึ้น พร้อมด้วยนายโชติพงศ์ พงศ์ศรีวัฒน์ ผู้อำนวยการกองวิศวกรรมและวางแผน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขต 1 (ภาคเหนือ) เชียงใหม่ และคุณณัฐ สงคราม หัวหน้าแผนกส่งเสริมพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ร่วมเสวนา โดยมีผู้เข้าร่วมงานจากภาครัฐและเอกชนให้ความสนใจเข้าชมการเปิดตัวในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก

นายธนพล ทุมพงษ์ กล่าวต่อว่า ระบบกักเก็บพลังงาน BESS ครั้งนี้มีความเป็นอัจฉริยะและแม่นยำยิ่งขึ้น ควบคุมระบบด้วย iBMS และ iEMS อัจฉริยะ พร้อมอัลกอริธึมที่เพิ่มความแม่นยำของแบตเตอรี่และยืดอายุการใช้งาน พร้อมระบบเตือนภัยผ่านคลาวด์ตลอด 24 ชั่วโมง ส่งผลให้เกิดความปลอดภัยสูง อายุการใช้งานยาวนาน มั่นใจด้วยมาตรฐาน IP54 โครงสร้างทนการกัดกร่อนระดับ C4H ใช้งานได้นานกว่า 15 ปี พร้อมการทดสอบความปลอดภัยรอบด้าน ที่สำคัญ ระบบกักเก็บพลังงาน BESS ติดตั้งง่าย ใช้งานสะดวก แบบ Plug-and-Play ติดตั้งรวดเร็ว พร้อมแอปพลิเคชันที่ช่วยให้คุณตรวจสอบสถานะและรายได้จากการใช้งานได้แบบเรียลไทม์ รองรับการใช้งานทั้งในอาคารและกลางแจ้ง ด้วยระบบโมดูลาร์ที่สามารถเชื่อมต่อและปรับโหลดได้หลากหลาย เหมาะกับธุรกิจทุกขนาด

จากนั้น บริษัท ทีซีอี โปรเจก จำกัด ได้จัดเสวนาเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานในประเทศ และประโยชน์ของระบบกักเก็บพลังงาน โดยมีผู้จัดการฝ่ายขาย (Laura Long) ตัวแทนฝ่ายผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ BESS และธนาคารกรุงไทย เข้าร่วม เพื่อเปิดมุมมองใหม่เรื่องพลังงานสะอาดของระบบกักเก็บพลังงาน ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับรู้และเข้าใจการใช้พลังงานนี้ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการลดมลพิษในอากาศได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ช่วงบ่ายยังมีการบรรยายและตอบข้อซักถามผลิตภัณฑ์ BESS จากผู้เชี่ยวชาญอีกด้วย

เชียงใหม่ สภาวัฒนธรรมเชียงใหม่ ลงพื้นที่ช่วยผู้ประสบภัยที่อำเภอแม่แจ่ม (คลิป)

สภาวัฒนธรรมเชียงใหม่ ลงพื้นที่ช่วยผู้ประสบภัยที่อำเภอแม่แจ่ม หลังเกิดน้ำป่าไหลหลากและดินสไลด์ในพื้นที่สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อบ้านเรือนและประชาชน

นายสุรพล เกียรติไชยากร ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายถาวร เกียรติไชยากร อดีต ส.ว. เชียงใหม่ และภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ได้ร่วมกันลงพื้นที่เพื่อมอบถุงยังชีพและเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำป่าไหลหลากฉับพลันในพื้นที่ตำบลช่างเคิ่ง และเทศบาลตำบลแม่แจ่ม อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่

องค์การบริหารส่วนตำบลช่างเคิ่ง คณะผู้บริจาคได้มอบสิ่งของช่วยเหลือประชาชนใน 7 หมู่บ้าน รวมกว่า 200 ราย ได้แก่ บ้านต่อเรทอ, บ้านต้นตาล, บ้านพร้าวหนุ่ม, บ้านป่าเท้อ, บ้านท้องฝาย, บ้านพุทธเอ้น และบ้านแพม โดยมีนางพัชรินทร์ บุญตาบวน นายกกิ่งกาชาดอำเภอแม่แจ่ม และผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลช่างเคิ่งร่วมรับมอบ

นอกจากนี้ ยังมีการมอบสิ่งของอีก 200 ชุดให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่เทศบาลตำบลแม่แจ่ม โดยมีชาวบ้านจาก 4 ชุมชนเดินทางมารับมอบด้วยตนเอง


นายอัฐ สมยศ นายกเทศมนตรีตำบลแม่แจ่ม ได้กล่าวขอบคุณสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ และทุกภาคส่วนที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย

เชียงใหม่ มช. จับมือ “วิโนน่า อินเตอร์เนชั่นแนล” ต่อยอดผลงานวิจัยสารสกัดถั่วเหลืองช่วยผู้หญิงวัย 45+ขับเคลื่อนนวัตกรรมสุขภาพสู่สังคมในการพัฒนาประเทศด้วยนวัตกรรม พร้อมสนับสนุนการทำงานของบุคลากรตั้งแต่งานวิจัยขั้นพื้นฐานจนกระทั่งพร้อมส่งต่อไปยังภาคเอกชน (คลิป)

มช. จับมือ วิโนน่า อินเตอร์เนชั่นแนล ต่อยอดผลงานวิจัยสารสกัดถั่วเหลืองช่วยผู้หญิงวัย 45+ ขับเคลื่อนนวัตกรรมสุขภาพสู่สังคมในการพัฒนาประเทศด้วยนวัตกรรม พร้อมสนับสนุนการทำงานของบุคลากรตั้งแต่งานวิจัยขั้นพื้นฐานจนกระทั่งพร้อมส่งต่อไปยังภาคเอกชน เพื่อรับไม้ต่อการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทย์วิจัยที่มาจากภาคเอกชน

ที่อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Step) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดี มช. เปิดงานมลงพร้อมลงนามความร่วมมือกับ นายอิทธิพล ศรีอิทยาจิต กรรมการบริษัท วิโนน่า อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด พร้อมแถลงข่าวการอนุญาตให้ใช้สิทธิเทคโนโลยี (Lensing) ผลิตภัณฑ์สารสกัดถั่วเหลืองในรูปแบบชนิดเม็ดแคปซูล อาหารเสริม และรูปแบบทาภายนอก ซึ่งเป็นนวัตกรรมเพื่อคุณภาพชีวิตผู้หญิง 45+ แก่บริษัท อินเตอร์เนชันแนล จำกัด พร้อมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับบริษัท โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในภาคอุตสาหกรรมและสังคม

ทั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในอนาคตโดยเฉพาะในกลุ่มประชากรสตรีวัยทอง หรือ 45 + และผู้สูงอายุ รวมถึงการสร้างโอกาสให้กับบุคลากรของมหาวิทยาลัยสามารถพัฒนาทักษะและต่อยอดองค์ความรู้ ผ่านการทำงานร่วมกับภาคเอกชน พร้อมส่งเสริมนักศึกษาผ่านกิจกรรมสหกิจศึกษาเน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพให้ความสำคัญกับบทบาทการเป็นฟันเฟืองในการพัฒนาประเทศด้วยนวัตกรรม พร้อมสนับสนุนการทำงานของบุคลากรตั้งแต่งานวิจัยขั้นพื้นฐานจนกระทั่งพร้อมส่งต่อไปยังภาคเอกชน เพื่อรับไม้ต่อการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ต่อไป

เชียงใหม่ โครงการคนดีศรีเชียงใหม่ มอบใบประกาศเกียรติคุณต้นแบบ คนดีศรีแผ่นดิน และคนดีศรีเชียงใหม่ ประจำปี 2568 (คลิป)

โครงการคนดีศรีเชียงใหม่ มอบใบประกาศเกียรติคุณต้นแบบ คนดีศรีแผ่นดิน และคนดีศรีเชียงใหม่ ประจำปี 2568 มีพระสงฆ์และประชาชน นักศึกษา และนักเรียน ที่ทำคุณงามความดี ปี พ.ศ.2568 รวมทั้งหมดกว่า 1,300 คน

วันนี้(30 สค.68) ที่ห้องประชุมมหาลัยฟาอีสเทิร์น อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พระเทพปริยัติ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 7 เจ้าอาวาสวัดเจ็ดยอดพระอารามหลวง จ.เชียงใหม่ เป็นประธานมอบใบประกาศเกียรติคุณให้กับผู้ที่ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติคนดีศรีเชียงใหม่ และคนดีศรีแผ่นดิน โดยมีพระอาจารย์เพชร จนฺทวณฺโณ ผู้อำนวยการโครงการคนดีศรีเชียงใหม่ เข้าร่วม

ในงานมีพระครูสังฆรักษ์วีรวัฒน์ วีรวฑฺฒโน (พระครูอ๊อด วัดเจดีย์หลวง) พร้อมนายมงคล ชัยวุฒิ นายกเทศมนตรีตำบลเชิงดอย ได้รับใบประกาศเกียรติคุณในครั้งนี้ด้วย พร้อมกับพระสงฆ์และประชาชน นักศึกษา และนักเรียน ที่ทำคุณงามความดี ปี พ.ศ.2568 รวมทั้งหมดกว่า 1,300 คน

สำหรับทางด้านชมรมผู้สื่อข่าวจังหวัดเชียงใหม่ได้เสนอผู้ที่ทำคุณงามความดี ได้รับใบประกาศเกียรติคุณ “คนดีศรีเชียงใหม่” ประกอบด้วย นายวิชณุวัฒน์ กันธวัง สมาชิกสภาเทศบาลตำบลสันผีเสื้อ และ นางพรพิมล ยามงคล, นายอัษฎา แปงสาย, นายธวัชชัย มาตันบุญ, นางสาวอัจฉราภรณ์ ปัญญาฟู, นางศิรินวล แก้วทอง และเด็กหญิงณัฐธิดา เรือนเงิน

เชียงใหม่ สนามไดร์ฟกอล์ฟยาวที่สุดในประเทศไทย M Sport เชียงใหม่ สนับสนุน 7 นักกอล์ฟเยาวชนภาคเหนือ ตามโครงการ Drive to the Dream 2025-2026 (คลิป)

สนามไดร์ฟกอล์ฟยาวที่สุดในประเทศไทย M Sport เชียงใหม่ สนับสนุน 7 นักกอล์ฟเยาวชนภาคเหนือ ตามโครงการ Drive to the Dream 2025-2026


ที่สนามไดร์ฟกอล์ฟ M sport สี่แยกหลุยส์ ตำบลสันกลาง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ นายทวีวัฒน์ เดชโพธิยานนท์ เจ้าของ M Sport Complex ได้เปิดตัวนักกอล์ฟเยาวชน 7 คน บวก 1 ที่ผ่านการคัดเลือกในโครงการ Drive to the Dream ปี 2025-2026 โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพนักกีฬาจากจังหวัดเชียงใหม่ให้ก้าวสู่ระดับประเทศและระดับสากล

เจ้าของ M Sport Complex กล่าวว่า ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันความฝันของนักกอล์ฟเยาวชนเหล่านี้ ด้วยการสนับสนุนลูกกอล์ฟสำหรับการฝึกซ้อมฟรีตลอดทั้งปี โดยมีมูลค่าเกือบ 100,000 บาทต่อคน รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 700,000 บาท โดยโครงการ Drive to the Dream ถูกสร้างขึ้นเพื่อมอบโอกาสให้เยาวชนกอล์ฟได้พัฒนาฝีมืออย่างเต็มที่ ตั้งแต่ก้าวแรกของการเป็นนักกีฬาระดับเยาวชน ไปจนถึงการก้าวสู่การเป็นนักกีฬาทีมชาติ และการได้รับทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ซึ่งในโครงการนี้มีโปรกอล์ฟมืออาชีพคอยให้คำแนะนำและฝึกสอนอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม สนามไดร์ฟกอล์ฟ M Sport เชื่อมั่นว่า ทุกความฝัน จุดเริ่มต้นจากโอกาสและพร้อมที่จะเป็นพลังสำคัญในการผลักดันเยาวชนทุกคนในภาคเหนือ ให้ก้าวไปสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จในวงการกอล์ฟระดัประเทสและสู่เวทีนานาชาติต่อไป

เชียงใหม่ อบจ.เชียงใหม่ เปิดงาน โครงการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่

รองนายก อบจ.เชียงใหม่ เปิดงาน โครงการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 28 – 29 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่

เย็นวันนี้ (28 สค.68) นายธีรพัฒน์ ตันพิริยะกุล รองนายก อบจ.เชียงใหม่ ประธานในพิธีกล่าวเปิดงานฯ โครงการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 28-29 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ นอกจากนั้นมี,นางวิทยาลักษณ์ สามใจ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และพันจ่าเอกวิทยา ลีละศาสตร์ รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ร่วมกันเปิดงาน 

จังหวัดเชียงใหม่ เป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และอุดมไป ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ทรงคุณค่า ภูมิปัญญาเหล่านี้ไม่เพียงเป็นรากฐาน ของวัฒนธรรม หากยังเป็นทุนทางสังคมและเศรษฐกิจที่สามารถพัฒนา และต่อยอดได้ในปัจจุบัน การจัดโครงการครั้งนี้ จึงนับเป็นโอกาสอันดี ที่จะได้สืบสาน และเผยแพร่ให้ประชาชน เยาวชนรุ่นใหม่ให้เกิดความรู้สึก ภาคภูมิใจ ตลอดจนเป็นอัตลักษณ์ที่สร้างแรงดึงดูดให้กับนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

ด้านพันจ่าเอก วิทยา ลีละศาสตร์ รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด กล่าวว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นรากฐาน ทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า และเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งด้านศิลปะหัตถกรรม ศิลปะการแสดง วิถีชีวิต และภูมิปัญญาพื้นบ้าน ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน

ด้วยเหตุนี้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้จัดทำโครงการ สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ขึ้น ระหว่างวันที่ 28 – 29 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่ คู่สังคมไทย เปิดโอกาสให้ประชาชน เยาวชน และนักท่องเที่ยว ได้เรียนรู้ และมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวัฒนธรรม สนับสนุนให้ภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถต่อยอดสู่เชิงสร้างสรรค์ และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ของจังหวัดเชียงใหม่

ภายในงานมีกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิ การจัดแสดง นิทรรศการ การสาธิตงานหัตถกรรมและงานศิลป์ การแสดง ทางวัฒนธรรม การสัมมนาเชิงวิชาการ ตลอดจนกิจกรรมสาธิต ภูมิปัญญาเพื่อให้เยาวชนและผู้สนใจได้เรียนรู้และสัมผัส ประสบการณ์จริง

เชียงใหม่ ส.กทอ. ชูโมเดล BCG ผลงานเด่นด้านอนุรักษ์พลังงานผ่านต้นแบบเมืองอัจฉริยะ มช.พร้อมกระตุ้นหน่วยงานในภูมิภาคยื่นขอจัดสรรทุนปี 2568 (คลิป)

สำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ส.กทอ.) ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ชูต้นแบบ BCG Model ผ่านโครงการต้นแบบเมืองอัจฉริยะพลังงานสะอาด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และโครงการที่เป็น Success Case ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยมีผลลัพธ์ด้านการอนุรักษ์พลังงานที่เป็นรูปธรรม พร้อมเชิญชวนหน่วยงานยื่นข้อเสนอเพื่อรับจัดสรรเงินกองทุนฯ ปีงบ 2568 ที่ยังยื่นได้ถึง 17 ก.ย. เวลา 16:30 น.

นายรัฐฉัตร ศิริพานิช ผู้จัดการสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ส.กทอ.) เปิดเผยว่า กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเป็นทุนหมุนเวียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ หรืออุดหนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน ภายใต้การจัดตั้งตาม พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งที่ผ่านมากองทุนได้จัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงาน และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน ให้แก่ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา องค์กรเอกชนไม่แสวงหาผลกำไร ผู้ประกอบกิจการโรงงานและอาคาร กลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และประชาชนในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร และเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมในการลดการใช้พลังงานได้มากกว่า 3,573 ktoe คิดเป็นมูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท/ปี ในช่วงปี 2557 ถึงปัจจุบัน

ในการเดินทางมาศึกษาดูงานที่ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน และศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจร รวมถึงตัวอย่างโครงการศึกษาของสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ครั้งนี้ ถือว่าเป็นต้นแบบโครงการ BCG Model หรือการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 มิติ ไปพร้อมกัน ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งเป็นทิศทางสำคัญเป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

สำหรับโครงการต้นแบบเมืองอัจฉริยะพลังงานสะอาด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU Smart City-Clean Energy) เป็นหนึ่งใน 6 ต้นแบบที่กองทุนฯ ได้จัดสรรงบประมาณ 115,005,500 บาท เพื่อริเริ่ม “โครงการสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities-Clean Energy)” ในปี 2559 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงกำไร สถาบันการศึกษาเพื่อออกแบบพัฒนาเมืองของตนเองไปสู่เมืองอัจฉริยะ

โครงการมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 32,370 ตันคาร์บอนไดออกไซด์/ปี ใน 20 ปี หรือคิดเป็นร้อยละ 55.5 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2558 นอกจากนั้นยังมุ่งเน้นเป็นต้นแบบการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อมครบวงจรให้กับเมืองข้างเคียงได้พัฒนาสู่สังคมสีเขียวแบบอัจฉริยะ ส่งผลต่อชุมชนรอบข้างให้สามารถใช้ประโยชน์พื้นที่สีเขียวในเมืองมหาวิทยาลัย มีความสะดวกสบายในการสัญจรเพิ่มขึ้น และสามารถเรียนรู้ระบบบริหารจัดการในเมืองมหาวิทยาลัยเพื่อใช้เป็นต้นแบบในการปรับใช้กับชุมชนได้อีกด้วย

ทั้งนี้ โครงการมีผลประหยัดพลังงานที่เกิดขึ้นจริงได้ 28.62% หรือ 34,220,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปี ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 51.08% หรือ 32,370.68 ตัน/ปี สามารถผลิตพลังงานจากโซลาร์บนหลังคาได้ 19 เมกะวัตต์ ผลิตไบโอแก๊สจากขยะ 0.3 เมกะวัตต์ และมีโรงไบโอแก๊ส (ไขมันจากโรงอาหาร) 0.5 เมกะวัตต์ รวมผลิตพลังงานได้ 19.8 เมกะวัตต์ หรือเทียบเท่ากับ 51.14%ของพลังงานที่ใช้ทั้งหมด รวมทั้งมีระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และโซลาร์น้้าร้อน 20,000 ลิตร/วัน

“ผลลัพธ์ที่กองทุนฯ คาดหวังคือ เมืองไทยจะมีแผนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ โดยเฉพาะในบริบทของการลดสภาวะโลกร้อนที่คำนึงถึงการใช้พลังงานสะอาด ช่วยลดพลังงาน ลดคาร์บอน และสร้างเมืองที่น่าอยู่และยั่งยืนสำหรับอนาคตต่อไป มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็เป็นพันธมิตรที่ดีของกองทุนฯ และเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการที่ผ่านมา ที่ได้มีการพัฒนาและยกระดับการดำเนินการพัฒนาเมืองอัจฉริยะอย่างต่อเนื่องจนได้รับรางวัลและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล มีการนำเทคโนโลยีด้านพลังงานต่าง ๆ ที่เคยได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เช่น ระบบก๊าซชีวภาพ การแปรรูปขยะเป็นพลังงาน การดัดแปลงรถยนต์เป็นรถไฟฟ้าและงานวิจัยอื่นๆ มาประยุกต์ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยฯ” ผู้จัดการ ส.กทอ.กล่าว

นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจรของมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์เมืองอัจฉริยะของมหาวิทยาลัยฯ มุ่งเน้นกำจัดขยะอย่างยั่งยืน โดยนำขยะจากหอพักและโรงอาหารมาผลิตเป็นไบโอแก๊ส เพื่อนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง CBG (Compressed Biomethane Gas) หรือก๊าซไบโอมีเทนอัด คือเชื้อเพลิงที่ได้จากการนำก๊าซชีวภาพ (Biogas) มาปรับปรุงคุณภาพ มีคุณสมบัติเทียบเท่าก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)

การบริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจรสามารถลดปริมาณขยะที่ต้องฝังกลบและเผาได้ประมรณ 4,500 ตัน/ปี ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 10,900 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยขยะอินทรืย์ 1 ตัน สามารถสร้างประโยชน์รวมได้มากถึง 1,500 – 2,000 บาท ซึ่งมาจากการผลิตก๊าซ การลดคาร์บอน และการประหยัดค่าขนส่ง ซึ่งโครงการนี้ก็ถือเป็นต้นแบบน่าสนใจในการนำเทคโนโลยีมาใช้แก้ปัญหาขยะและสิ่งแวดล้อม พร้อมกับสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม

“ทั้งนี้ ยังมีตัวอย่างโครงการภายใต้การสนับสนุนของกองทุนฯ ประสบผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะจากสถาบันวิจัยพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงเล็งเห็นว่าหน่วยงานหรือองค์กรที่มีสิทธิ์ยื่นขอรับจัดสรรเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2568 ควรให้ความสำคัญกับกลไกนี้ของกองทุนฯ เพื่อเป็นการช่วยผลักดันหน่วยงานให้มีความพร้อมก้าวไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยล่าสุดทางคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้ขยายระยะเวลาการเปิดรับข้อเสนอโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงาน และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 17 กันยายน 2568 จึงอยากเชิญชวนหน่วยงานเข้าร่วมยื่นข้อเสนอเพื่อรับทุนสนับสนุน ซึ่งในภาพรวมจะเกิดผลประหยัดพลังงานในวงกว้าง รวมทั้งเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนในประเทศมากขึ้นด้วย” ผู้จัดการ ส.กทอ.กล่าวในท้ายที่สุด