เชียงใหม่ สถาบันขงจื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดพิธีปิด และมอบประกาศนียบัตร โครงการ “สัปดาห์การบูรณาการการศึกษาเชิงวิชาการและอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน” ภายใต้หัวข้อ “ภาษาจีน + เครื่องมือ AI + TikTok” ประจำปี 2568 (คลิป)

สถาบันขงจื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดพิธีปิด และมอบประกาศนียบัตร โครงการ “สัปดาห์การบูรณาการการศึกษาเชิงวิชาการและอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน” ภายใต้หัวข้อ “ภาษาจีน + เครื่องมือ AI + TikTok” ประจำปี 2568  จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-17 พย.2568

วันนี้(17 ตค.68) ที่โรงแรมอโมร่า ท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดพิธีปิด และมอบประกาศนียบัตร โครงการ “สัปดาห์การบูรณาการการศึกษาเชิงวิชาการและอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน” ภายใต้หัวข้อ “ภาษาจีน + เครื่องมือ AI + TikTok” ประจำปี 2568 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีผู้มีเกียรติเข้าร่วมในพิธีปิด ประกอบด้วย 1. Mr. Lv Sheng (ลวี่ เซิ่ง) กงสุลฝ่ายพาณิชย์ สถานกงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำเชียงใหม่ 2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ ประธานสมาคมการศึกษาดิจิทัลและวิศวกรรมการเรียนรู้(DELE)3. Ms. Wang Zhen ผู้อำนวยการ Hainan Free Trade Zone Dehang Co.Ltd. (COSMOS) 4. คุณชื่นจิตร์ อกตั๋น นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการสำนักนโยบายและแผนการอาชีวศึกษา ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและ 5.Ms. Lian Chen ผู้อำนวยการฝ่ายจีน สถาบันขงจื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

Ms. Lian Chen ผู้อำนวยการฝ่ายจีน สถาบันขงจื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า การศึกษาเชิงดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน” ในครั้งนี้ ในนามของสถาบันขงจื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ดิฉันขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ให้การสนับสนุนและเข้าร่วมโครงการนี้อย่างสุดซึ้งตลอดหลายวันที่ผ่านมา เราได้ร่วมกันลงมือปฏิบัติ พัฒนาจาก “ภาษา” สู่ “ทักษะ” จาก”ห้องเรียน” สู่ “ตลาด” เมื่อได้เห็นนักเรียน นักศึกษาใช้ภาษาจีนในสนทนา ใช้เครื่องมือ AI สร้างสรรค์เนื้อหาและใช้ TikTok ถ่ายทอดผลิตภัณฑ์อันเป็นเอกลักษณ์ของไทย สิ่งที่เราเห็นไม่ใช่เพียงการประยุกต์ใช้ความรู้ แต่ยังเป็นการขยายพันธกิจของสถาบันขงจื่อฯ ที่มิได้จำกัดเพียงการเผยแพร่วัฒนธรรมและภาษา แต่ยังเป็นการผลักดันความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่จับต้องได้ และเป็นเพื่อนร่วมทางในการช่วยให้เยาวชนเปลี่ยนการเรียนรู้ให้เป็นพลังแห่งการแข่งขันในสายอาชีพ

เมื่อได้เห็นผลงานอันสร้างสรรค์ของแต่ละทีม ทั้งคลิปวิดีโอ TikTok และแผนการตลาดที่มีเอกลักษณ์ เรารู้สึกชื่นชมและปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง เพราะนี่คือจุดประสงค์หลักของโครงการนี้ ทำให้การเรียนรู้ภาษาจีนสนุก ใช้ได้จริง ทำให้การพัฒนาทักษะมีทิศทางชัดเจน และทำให้ความร่วมมือไทย-จีนประสบความสำเร็จ เรารู้สึกยินดีที่ได้เห็นบริษัทอย่าง Hainan Free Trade Zone Dehang Co.Ltd. (COSMOS) ยื่นโอกาสฝึกงานที่ประเทศจีนให้กับนักศึกษาที่มีผลงานที่โดดเด่น ซึ่งนับเป็นผลลัพธ์ที่ยืนยันคุณค่าของสิ่งที่เรา มุ่งมั่นทำมาในโอกาสนี้ ดิฉันขอแสดงความขอบคุณต่อสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ขอบคุณทีมผู้เชี่ยวชาญจากประเทศจีนที่ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้อย่างละเอียด และขอบคุณคณะผู้จัดงานและอาสาสมัครทุกท่านที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจอยู่เบื้องหลัง

ในอนาคต สถาบันขงจื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จะยังคงทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมความร่วมมือ สร้างสรรค์โครงการที่เน้น “ภาษาจีน + ทักษะอาชีพ” อย่างต่อเนื่อง เพื่อบ่มเพาะพลังคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นกำลังสำคัญของมิตรภาพและการพัฒนาร่วมกันของจีน-ไทยต่อไปขออวยพรให้นักเรียน นักศึกษาทุกท่านมีอนาคตที่สดใส และสามารถโบยบินอย่างมั่นใจท่ามกลางกระแสคลื่นแห่งเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างสง่างาม

 

เชียงใหม่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ “ดีพร้อม” ผนึกกำลังกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 เปิดตัวกิจกรรมพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและความงามอัพไซเคิล (Upcycled Food & Beauty)” ภายใต้โครงการสร้างการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน (คลิป)

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ “ดีพร้อม” ผนึกกำลังกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 เปิดตัวกิจกรรมพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและความงามอัพไซเคิล (Upcycled Food & Beauty)” ภายใต้โครงการสร้างการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน (SUSTAINDUSTRY) ตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อยกระดับเศรษฐกิจชีวภาพหมุนเวียนและสีเขียว (BCG Economy) ในภูมิภาค และผลักดันผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดโลกด้วยแนวคิดเศรษฐกิจยั่งยืน

วันนี้(16 ตค.68) ห้อง ธาราทอง 2 ชั้น 2 โรงแรมเซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ เชียงใหม่ “ดีพร้อม”ผนึกกำลัง กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 เปิดตัว ‘Upcycled Food & Beauty’ ชูเศรษฐกิจสีเขียว ลดปัญหา Food Loss ปั้นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงสู่ตลาดโลก จัดแถลงข่าวเปิดตัวการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอดรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่, นางสาวชฏาพร วรรณแก้ว ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาการส่งเสริมธุรกิจอุตสาหกรรม ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม , ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชิตาพัณณ์ ใบงิ้ว ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมอาหารและบรรจุภัณฑ์ และรองศาสตราจารย์ ,ดร.โพธิ จ้าวไพศาล รองผู้อำนวยการสำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้อีกด้วย

นางสาวชฎาพร วรรณแก้ว ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาการส่งเสริมธุรกิจอุตสาหกรรม ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม โดย ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 เป็นหน่วยงานที่สนับสนุนและผลักดันการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี งานวิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับความคิดสร้างสรรค์มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมโดยใช้ทุนทรัพย์ที่มีอยู่ในพื้นที่อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งสอดรับกับนโยบายของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2568 “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ที่นี่มีแต่ให้” ภายใต้กลยุทธ์ “ให้เครื่องมือทันสมัย” เพื่อเพิ่มศักยภาพและผลิตภาพรองรับการเปลี่ยนแปลงร่วมกับบูรณาการเชิงพื้นที่ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ 4 ให้ 1 ปฏิรูป “ให้ทักษะใหม่ ให้เครื่องมือทันสมัย ให้โอกาสโตไกล ให้ธุรกิจไทยที่ดีคู่ชุมชน ปฏิรูป DIPROM” ควบคู่กับการผลักดันการขับเคลื่อนนโยบาย SUSTAINDUSTRY ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 มุ่งเน้นการสร้างการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการใช้หลัก เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้วยความตระหนักถึงการลดปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคเหนือ ได้แก่ (1) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าในอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปในพื้นที่ ที่มีการใช้วัตถุดิบสูงแต่มีประสิทธิภาพการผลิตต่ำ ส่งผลให้เกิดวัตถุดิบเหลือใช้ (By-Product) และผลผลิตพลอยได้ในปริมาณมาก (2) การลดวิกฤต Food Loss จากผลผลิตทางการเกษตรตกเกรด เช่น รูปทรง สี หรือขนาดที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ไม่ถูกส่งต่อเพื่อการบริโภค ก่อให้เกิดปัญหา และส่งผลกระทบ

ต่อสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง และ (3) การผลักดันการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ และการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นางสาวชฎาพร วรรณแก้ว กล่าวต่อว่า ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 ได้ตระหนักถึงสภาพปัญหาดังกล่าว จึงได้จัดทำกิจกรรม “พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและความงามอัพไซเคิล” (Upcycled Food & Beauty) ภายใต้โครงการสร้างการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน (SUSTAINDUSTRY) เพื่อส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารอัพไซเคิล (Upcycled Food) และความงามอัพไซเคิล (Upcycled Beauty) จากวัตถุดิบเหลือใช้ ผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตอาหาร และผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่ที่มีมูลค่าต่ำหรือตกเกรดไม่เป็นไปตามมาตรฐาน โดยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ ร่วมกับกระแสนิยมของผู้บริโภคที่ใส่ใจรักสุขภาพเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่ม “Vegan” ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาส่วนผสมจากสัตว์ สอดคล้องกับการปรับรูปแบบธุรกิจตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไปพร้อมกัน สอดรับกับนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนหนึ่งในกุญแจสำคัญของนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่

โดยนำทรัพยากรและวัตถุดิบต่างๆ ที่ใช้ประโยชน์ในขั้นแรกไปแล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตอีกครั้ง
โดยนำกลับมาใช้เพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับส่วนเหลือทิ้งในกระบวนการผลิต
เพื่อลดปริมาณขยะจากภาคการผลิตให้เป็นศูนย์ (ZERO WASTE) ดังนั้น กิจกรรมนี้ จึงตอบโจทย์การเปลี่ยน
“ภาระ” ที่เคยสร้างมลพิษ ให้กลายเป็น “โอกาส” ในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจใหม่ให้กับพื้นที่

นางสาวชฎาพร วรรณแก้ว กล่าวต่อว่า สำหรับกิจกรรมพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและความงามอัพไซเคิล (Upcycled Food & Beauty) ในครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือในการพัฒนาเชิงพื้นที่เพื่อปรับเปลี่ยนและยกระดับผู้ประกอบการให้ก้าวทันพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดย ดีพร้อม ได้บูรณาการความร่วมมือกับกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ เพื่อยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการภาคเกษตรอุตสาหกรรมในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 และผลักดันการบริหารจัดการผลผลิตหรือวัตถุดิบเหลือใช้ให้เกิดการหมุนเวียนทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ (Value Creation)

จากผลผลิตหรือวัตถุดิบเหลือใช้จากห่วงโซ่การผลิตอาหาร มุ่งเน้นเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Vegan Trend) สร้างสรรค์สินค้าที่ตอบโจทย์กระแสนิยมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนสู่
ZERO WASTE โดย ดีพร้อม ตั้งเป้าผลักดันผลิตภัณฑ์อาหารและความงามอัพไซเคิล จำนวน 20 ผลิตภัณฑ์
จากอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 (เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน และลำปาง)
ผ่านการให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึกด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารอัพไซเคิล (Upcycled Food) และผลิตภัณฑ์ความงามอัพไซเคิล (Upcycled Beauty) ภายใต้แนวคิดการสร้างความตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
ทางธรรมชาติ สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน ร่วมกับกระแสนิยมของผู้บริโภคที่ใส่ใจรักสุขภาพเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม “Vegan” สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์โดยประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ร่วมกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าด้วยวิธีการที่มีจริยธรรม พร้อมทั้งนำผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนาเข้าทดสอบตลาด (Market Testing) สร้างโอกาสทางการตลาด โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้สูงถึงกว่า 20.35 ล้านบาท

นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ประกอบด้วยจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน มีการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งภาคการผลิต ภาคการบริการ รวมถึงภาคการเกษตร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของภาคเหนือด้วยภูมิประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์เอื้อต่อการทำการเกษตรกรรม ทำให้มีผลผลิตทางการเกษตรจำนวนมากส่งผลให้เกิดการนำผลผลิตทางการเกษตรไปแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม แต่เนื่องจากอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปนั้นในกระบวนผลิตมีการใช้วัตถุดิบอยู่ในเกณฑ์สูง แต่ประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรในการผลิตสินค้ายังอยู่ในระดับต่ำ และมีการใช้วัตถุดิบอย่างสิ้นเปลืองและสร้างมูลค่าเพิ่มได้น้อยกว่าที่ควร ทำให้เกิดวัตถุดิบเหลือใช้หรือผลผลิตพลอยได้ (By-Product) จากกระบวนการผลิตอาหาร นอกจากนี้ ยังมีวิกฤตจากการสูญเสียอาหาร (Food Loss) ที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่การผลิต ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการในภาคการผลิตโดยตรง ก่อให้เกิดขยะอาหารเป็นจำนวนมาก

ด้วยเงื่อนไขด้านมาตรฐานอาหารที่สูง ทำให้ต้องคัดเลือกและทิ้งส่วนที่ไม่ต้องการเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดผลผลิตทางการเกษตรที่มีมูลค่าต่ำ หรือตกเกรด เนื่องจากรูปทรง สี ขนาด หรือลักษณะอื่นใดที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นวัตถุดิบที่ไม่ถูกส่งผ่านไปเพื่อการบริโภคก่อให้เกิดปัญหาของเสียและมลพิษ ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามมา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับกิจกรรมที่เน้นความยั่งยืน คือ ผลตอบแทนทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (SROI) ซึ่งเป็นการสร้างคุณค่าที่ไม่สามารถวัดเป็นตัวเงินได้ทั้งหมด และคาดว่ากิจกรรมนี้จะมีส่วนช่วยลดปริมาณวัตถุดิบเหลือใช้ (By-Product) และ Food Loss ที่ต้องนำไปกำจัดในแต่ละปีอย่างมีนัยสำคัญ นำไปสู่การลดภาระค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นผลตอบแทนต่อสิ่งแวดล้อมของกลุ่มจังหวัดโดยตรง และหวังเป็นอย่างยิ่งจากความสำเร็จของการดำเนินกิจกรรมนี้ จะสามารถขยายผลไปสู่ผู้ประกอบการในพื้นที่ให้ตื่นตัวเพิ่มขึ้นและสามารถสร้างสายการผลิตผลิตภัณฑ์ในลักษณะที่เป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกแห่งอนาคตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นการขยายตัวการดำเนินธุรกิจอันจะนำไปสู่การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจของภูมิภาคให้ขยายตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

 

เชียงใหม่ ม.แม่โจ้ เตรียมจัดประชุมวิชาการและนิทรรศการ ครั้งที่ 12 และงานเกษตรแม่โจ้ ภายใต้แนวคิด ทรัพยากรไทย หวนดูทรัพย์สิ่งสินตน (คลิป)

หาวิทยาลัยแม่โจ้ ร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่ เตรียมจัดประชุมวิชาการและนิทรรศการ ครั้งที่ 12 และงานเกษตรแม่โจ้ ภายใต้แนวคิด ทรัพยากรไทย หวนดูทรัพย์สิ่งสินตน เริ่มวันที่ 4-10 พฤศจิกายน นี้


วันนี้ (15 ต.ค. 68) ที่สนามกีฬาอินทนิล มหาวิทยาลัยแม่โจ้ นายชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และ รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ร่วมกันแถลงถึงการเตรียมความพร้อมในการจัดประชุมวิชาการและนิทรรศการ ครั้งที่ 12 ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ร่วมกับยังหวัดเชียงใหม่ เตรียมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-10 พฤศจิกายน 2568 ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่

สำหรับการจัดประชุมวิชาการและนิทรรศการในครั้งนี้ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ทรัพยากรไทย : หวนดูทรัพย์สิ่งสินตน เพื่อเทิดพระเกียรติในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 70 พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเปิดโอกาสให้เยาวชน ประชาชน นักวิชาการ ภาคเอกชน และผู้กำหนดนโยบายได้ตระหนักถึงคุณค่าและศักยภาพของทรัพยากรไทย เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน ตลอดจนเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ครบรอบ 90 ปี อันเป็นหมุดหมายแห่งความภาคภูมิใจและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ภายในงาน จะมีการจัดนิทรรศการพิเศษ “หวนดูทรัพย์สิ่งสินตน อพ.สธ. มหาวิทยาลัยแม่โจ้” ภายใต้แนวคิด “รากแก้วมั่นคงมั่งคั่ง” สะท้อนบทบาทของมหาวิทยาลัยด้านการเกษตรที่เก่าแก่และมั่นคงของประเทศไทย ซึ่งก่อตั้งมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2477 จากโรงเรียนครูประถมกสิกรรมภาคเหนือ จนพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยแม่โจ้ในปัจจุบัน

อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญคือ “งานเกษตรแม่โจ้” มหกรรมต้นไม้ ผลิตภัณฑ์เกษตร สินค้าชุมชน ร้านอาหาร และการแสดงศิลปวัฒนธรรม จากสถานศึกษาและศิลปินรับเชิญ ตลอด 7 วัน 7 คืน นอกจากนี้ยังมีการประชุมวิชาการและนิทรรศการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน 98 โรงเรียน การประชุมและนิทรรศการงานฐานทรัพยากรท้องถิ่น 38 หน่วยงาน การจัดนิทรรศการหน่วยงานสนองพระราชดำริฯ 126 หน่วยงาน การประชุมชมรมคณะปฏิบัติงานวิทยาการ อพ.สธ. และแปลงสาธิตและฐานการเรียนรู้ด้านการเกษตร

เชียงใหม่ เทศบาลตำบลแม่คือ อำเภอดอยสะเก็ด จัดพิธี “สืบชะตาหลวง” เสริมสิริมงคลให้บ้านเมืองและประชาชน(คลิป)

เทศบาลตำบลแม่คือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ จัดพิธี “สืบชะตาหลวง” เสริมสิริมงคลให้บ้านเมืองและประชาชน

วันนี้(13 ตค.68)  เทศบาลตำบลแม่คือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการจัดพิธี “สืบชะตาหลวง” ตามประเพณีล้านนาอันเก่าแก่ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ประชาชนและบ้านเมือง โดยมี นายวิศิษฐ์ ตุ่มศิรินายกเทศมนตรีตำบลแม่คือ คณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล สส. สจ. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

พิธีสืบชะตาหลวงถือเป็นพิธีกรรมสำคัญของชาวล้านนา มีความเชื่อว่าช่วยในการต่ออายุ เสริมดวงชะตา ปัดเป่าสิ่งไม่ดี และนำความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่ชุมชน ภายในงานมีการตั้งเครื่องสักการะ เครื่องบวงสรวง การเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีผูกสายสิญจน์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้เข้าร่วมทุกคน

บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยศรัทธา ชาวบ้านต่างร่วมมือร่วมใจกันอนุรักษ์สืบทอดขนบธรรมเนียมอันดีงามของบรรพบุรุษให้คงอยู่สืบไป

เทศบาลตำบลแม่คือขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้การสนับสนุนและเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ และขออำนวยพรให้ประชาชนทุกท่านประสบแต่ความสุข ความเจริญ ตลอดปีและตลอดไป

เชียงใหม่ เตรียมระเบิดความมันส์ ‼️ ฟุตบอลการกุศล “WE LOVE MADAM PANG THE FIRST CHIANG MAI” พร้อมแล้ว 11 ตุลาคมนี้

เตรียมระเบิดความมันส์ ‼️ ฟุตบอลการกุศล “WE LOVE MADAM PANG THE FIRST CHIANG MAI” พร้อมแล้ว 11 ตุลาคมนี้

วันก่อนมีการประชุมเตรียมความพร้อมครั้งสำคัญสำหรับการจัดกิจกรรมการแข่งขัน ฟุตบอลการกุศล “WE LOVE MADAM PANG THE FIRST CHIANG MAI” ณ ห้องประชุมสำนักการช่าง เทศบาลนครเชียงใหม่ โดยมี นายณภัทร ประเสริฐดี ผอ.สำนักช่าง, นายจารุวัฒน์ วิเศษสมบัติ (อ้อม อินคา) และเจ้าหน้าที่กลุ่มงานจราจร จ.เชียงใหม่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ร่วมติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด

การประชุมดังกล่าวได้เน้นย้ำถึงความพร้อมในทุกด้านของสถานที่จัดแข่งขัน ณ สนามกีฬาฟุตบอลเทศบาลนครเชียงใหม่ ทั้งในส่วนของการอำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าชม การดูแลความปลอดภัย ตลอดจนกิจกรรมเสริมภายในสนาม เพื่อให้งานเป็นไปอย่างราบรื่นและน่าประทับใจ โดยเฉพาะกิจกรรม มินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง ที่เตรียมไว้สร้างความสนุกสนานตลอดงาน

⚽️ ทีมฟุตบอลตัวตึง พร้อมลงสนามเพื่อการกุศล

การแข่งขันในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากทีมฟุตบอลกิตติมศักดิ์และทีมดังในพื้นที่เชียงใหม่ นำโดย: ทีมเพื่อนพ้อง-อ้อมอินคา ,ทีมสื่อมวลชน ,ทีมตำรวจ ภาค 5 ,ทีมเวียงพิงค์ 11 ,ทีม Influencer ชื่อดังของเชียงใหม่

ขอเชิญชวนชาวเชียงใหม่และผู้สนใจทุกท่านมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ “เชียงใหม่ โมเดล” และร่วมสนับสนุนการพัฒนาสนามฟุตบอลในจังหวัดเชียงใหม่ไปด้วยกัน

วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม 2568 เวลา: ตั้งแต่เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป

สถานที่: สนามกีฬาฟุตบอลเทศบาลนครเชียงใหม่

การเข้าชม: เข้าชมฟรี! มาร่วมชมฟุตบอลสุดมันส์ สนุกกับมินิคอนเสิร์ต และเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนวงการฟุตบอลท้องถิ่นด้วยกัน!

 

 

เชียงใหม่ FIA ร่วมกับ ร.ย.ส.ท. ประชุมหารือกับนานาชาติ 25 ประเทศทั่วโลก กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ (คลิป)

FIA ร่วมกับ ร.ย.ส.ท. ประชุมหารือกับนานาชาติ 25 ประเทศทั่วโลก กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์และมอเตอร์สปอร์ตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้เติบโตอย่างยั่งยืน

วันนี้(8 ตค.68) ที่ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นายโมฮัมเหม็ด เบน ซูลาเยม ประธานสมาพันธ์ยานยนต์นานาชาติ (FIA President Mohammed Ben Sulayem) นายพฤฒิรัตน์ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ นายกราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมาคมกีฬา “ร.ย.ส.ท.” ร่วมกันเปิดการประชุมระดับภูมิภาค FIA Asia-Pacific Congress 2025 มีผู้แทนจาก 25 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ผู้บริหารระดับสูงของ FIA ผู้นำองค์กร ด้านมอเตอร์สปอร์ตและการขนส่ง หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชน จากต่างประเทศเข้าร่วม โดยหัวข้อการหารือ ในการประชุม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ของการแข่งขันรถ ในระดับภูมิภาค การสร้างนักแข่งและบุคลากรรุ่นใหม่ ตลอดจนการส่งเสริมมาตรฐาน ความปลอดภัยในการแข่งขัน เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทั่วโลก รวมทั้งการเปลี่ยนผ่าน มาเป็นยุคยานยนต์ไฟฟ้า การออกแบบเมือง และระบบขนส่งที่ยั่งยืน และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ในการเพิ่มความปลอดภัยทางถนน ซึ่งมีการประชุมระหว่างวันที่ 8 – 10 ตุลาคม 2568 โดย มีนายโมฮัมเหม็ด เบน ซูลาเยม ประธาน FIA ร่วมกับ นาย พฤฒิรัตน์ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ นายก ร.ย.ส.ท. ร่วมกันเปิดงานดังกล่าว

นายโมฮัมเหม็ด เบน ซูลาเยม ประธานสมาพันธ์กีฬาแข่งรถนานาชาติ (FIA) กล่าวว่า “เป้าหมายการสัมมนาและพูดคุยเรื่องความปลอดภัยและการแข่งขันรถยนต์มอเตอร์สปอร์ต รวมถึงความยั่งยืน และรักษาสิ่งแวดล้อม โดยสปอร์ตยานยนต์ มีการใช้พลังงาน สะอาด ในการแข่งขันรถ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง จะทำให้การแข่งขันรถปล่อยควันดำลดลง รวมถึงมีการพูดคุย ในเรื่องของความปลอดภัยยานยนต์และการแข่งขันรถยนต์มอเตอร์สปอร์ต”

ในโอกาสนี้ได้ให้สัมภาษณ์ตัวแทนสื่อมวลชนสอบถามถึง การจัดการประชุมครั้งแรกที่ FIA จัดประชุมที่เชียงใหม่ อะไรคือแรงผลักดันหรือแรงบันดาลใจที่ทำให้ FIA อยากมาจัดประชุมที่เชียงใหม่ครั้งนี้

ซึ่ง นายโมฮัมเหม็ด เยน ซูลาเยม กล่าวเพิ่มเติมว่า “การประชุมในระดับนี้เริ่มจากขนาดเล็กกว่านี้มาก่อนแล้วค่อยๆ เติบโตขึ้น อย่างที่ผมกล่าวไว้ เดิมทีมีแต่ชมรมฝั่งโมบิลิตี (รถยนต์) แต่ตอนนี้มีทั้งกีฬาและโมบิลิตี ประการที่สอง เพื่อทำให้เครือข่ายแข็งแรงขึ้น เข้าถึงภูมิภาคต่างๆ ปีที่แล้ว ได้ไปที่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม สำหรับประเทศไทยก็ยอดเยี่ยม ทั้งในด้านโมบิลิตี ซึ่งต่อยอดสู่กีฬา จึงจะอยู่ในมอเตอร์สปอร์ตได้ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งเดียวกัน เมื่อมองย้อนกลับไป ความรักในรถยนต์ ความรับผิดชอบของ FIA ต่อการป้องกันความปลอดภัยบนท้องถนน และสิ่งแวดล้อม ถือว่าเป็นความท้าทายต่อผู้ผลิตทุกคน และเป็นความท้าทายต่อสหพันธ์ด้วย เรามักพูดเสมอว่า “เราไม่ใช่ส่วนหนึ่งของปัญหา เราเป็นส่วนหนึ่งของทางออก” การมาจัดประชุมที่นี่ ร่วมกับ ราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ร.ย.ส.ท.) ซึ่งเป็นสมาคมที่ให้การสนับสนุนด้าน motorsport and mobility ของประเทศไทย ทำให้ได้ทำงานร่วมกันในการนำผู้คนจากทั่วภูมิภาคมาที่นี่

การประชุม การพบปะกันสำคัญมาก การได้เห็นหน้า รับฟัง พบปะ และทานอาหารร่วมกัน ก็มีคุณค่าทางด้านวัฒนธรรม ซึ่งมีสมาชิกกว่า 245 องค์กร ในด้านกีฬาและโมบิลิตีทั่วโลก และมีผู้ขับขี่ในชมรมต่าง ๆ กว่า 80 ล้านคน ดังนั้น FIA มี “ความรับผิดชอบ” ที่ต้องเข้าถึงผู้คนในแต่ละประเทศ ไม่มีคำว่า “ไซซ์เดียวใช้ได้กับทุกคน” แม้อยู่ในไทยกับเพื่อนบ้าน หากไปฟิลิปปินส์หรือประเทศใกล้เคียง วิธีการและบริบทก็แตกต่าง ไม่ใช่เพราะอยู่ในภูมิภาคเดียวกันแล้วจะเหมือนกัน คือ เหตุผลที่ต้อง “รับฟัง” ผ่านสมาชิกของและพร้อม “สนับสนุน” การให้ไอเดีย ทำงานร่วมกัน เป็นการแบ่งปันองค์ความรู้จากประเทศอื่นๆ และยังรวมถึงเงินทุนสนับสนุนจาก FIA ซึ่งสำคัญเช่นกัน แม้ว่าฟอร์มูลา วัน คือรายการแข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพราะเป็นจุดสูงสุด แต่สำหรับ FIA เป็นเจ้าของ ผลประโยชน์จะย้อนกลับไปยังสมาชิก”

ด้าน “ความยั่งยืน” นายโมฮัมเหม็ด เบน ซูลาเยม กล่าวต่อว่า “ตอนนี้ยังมีความไม่แน่นอนทิศทางของโมบิลิตีจะไปทางไหน จะเป็นไฟฟ้าล้วนหรือไม่? ถ้าเป็นไฟฟ้าล้วน ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง แล้วตรวจสอบดู มันใช่คำตอบหรือเปล่า แล้วจะทำอย่างไรกับโคบอลต์และแบตเตอรี่ลิเธียมหลังหมดอายุ? จีนกำลังก้าวนำอยู่ตอนนี้ ผมเชื่อว่าเวลาตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม อาจสมเหตุสมผลกว่าหาก “ตั้งโจทย์ให้ผู้ผลิต” ว่า “เราต้องการไปให้ถึงระดับนี้” จะ “อย่างไร” ให้เป็นความท้าทายของพวกเขา แต่การบังคับให้ไปทางไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ผมไม่เชื่อว่านั่นคือทางออกเดียว มีทางเลือกมากมาย มีไฮบริด มีเชื้อเพลิงบางประเภทแทนน้ำมันฟอสซิล ไบโอฟิวเอล เชื้อเพลิงสังเคราะห์ และเชื้อเพลิงยั่งยืน และนั่นคือสิ่งที่เรากำลังใช้ในพีระมิดของมอเตอร์สปอร์ต ผมเพิ่งดูแข่งรถบรรทุก น่าทึ่งมากที่เห็นแข่งโดยไม่มีควันดำ เพราะใช้เชื้อเพลิงยั่งยืน! ดังนั้น การทำงานร่วมกับทีมและรับฟังพวกเขา ในฝั่งโมบิลิตี ก็ท้าทายเช่นกัน เพราะเชื้อเพลิงที่ใช้ในมอเตอร์สปอร์ตจะถูกนำไปใช้ในโมบิลิตีด้วย จะทำให้มีเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดในโลก ฟอร์มูลา วัน มีประสิทธิภาพถึง 60% เทคโนโลยีนั้นมีอยู่แล้ว เพียงแต่เราต้องการให้ผู้ผลิตที่ทำงานกับเรา มอบยานยนต์ที่เข้าถึงได้ ยั่งยืน และเชื่อถือได้แก่ผู้บริโภค และมันทำได้จริง แต่ความท้าทายไม่มีวันหยุด

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามเพิ่มเติมประเด็น ด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่นำเข้าสู่มอเตอร์สปอร์ตผ่าน FIA เรื่องนวัตกรรมดิจิทัล เช่น AI ซึ่งกำลังมาแรงมาก โดยเฉพาะในไทย เราจะได้เห็นการนำ AI มาใช้ในงานของ FIA อย่างไรบ้าง?

นายโมฮัมเหม็ด เยน ซูลาเยม กล่าวว่า ได้หารือและตระหนักว่า AI สามารถใช้ในทางบวกได้ ในเรื่องกรรมการพิจารณาเหตุ (Stewards) มีความท้าทายใหญ่ สจ๊วตต้องยุติธรรม กระตือรือร้น และถูกตรวจสอบตลอดเวลา (*สจ๊วต = เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการดูแลให้การแข่งขันดำเนินไปอย่างยุติธรรมและปลอดภัย) จึงมีการนำสิ่งที่เรียกว่า “ROC” มาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งจำเป็นต้องยกระดับให้สอดคล้องกับความต้องการของแชมเปียนชิพ ความต้องการคือการตัดสินที่ดียิ่งขึ้น และผู้อำนวยการการแข่งขันที่ดียิ่งขึ้น ตอนนี้มี “เส้นทาง” ให้คนรุ่นใหม่จากทั่วโลก ไทย เอเชีย แอฟริกา—มีสมองที่ยอดเยี่ยมอยู่ทุกที่ถ้าไม่เอื้อมไปหา เขาอาจไม่มีโอกาสแสดงศักยภาพ จากนั้นฝึกอบรม และใช้เทคโนโลยี ROC—ศูนย์ควบคุมระยะไกลในสหราชอาณาจักร เป็นปฏิบัติการขนาดใหญ่ ซึ่งจะพร้อมใช้ปีหน้า

มี 2 วัตถุประสงค์ คือ ช่วยด้านการฝึกอบรม และทำให้มั่นใจว่าเรายุติธรรมและตัดสินได้ถูกต้องเมื่อเกี่ยวกับนักแข่ง อีกส่วน—AI เข้ามาตรงไหน? เมื่อใช้ AI จะทำให้ทราบว่า “คำตัดสินแบบไหนดีที่สุด” ในสถานการณ์หนึ่ง ๆ สามารถป้อนข้อมูลทั้งหมดแล้วดูได้ว่าแนวทางตัดสินที่เหมาะสมที่สุดคืออะไร สุดท้ายแล้ว “มนุษย์” ทดแทนไม่ได้ สำหรับเราแล้ว เราใช้ AI อย่างไรนั้น ยกตัวอย่างแชมเปียนชิพยอดนิยมที่สุด ฟอร์มูลา วัน จะเห็นประเด็นร้องเรียนต่าง ๆ เช่น การปะทะ การโดนโทษ 5 หรือ 10 วินาที ตรงนี้น่าจะผ่อนปรนให้พวกเขาบ้าง แล้วบอกว่า “ทำสิ่งที่คุณทำได้ดีที่สุดคือการแข่ง!” แล้วเราจะจัดการส่วนของเราให้น่าดูยิ่งขึ้น คุณจะได้ชมการแข่งขันที่สนุกกว่า ดังนั้น AI จะช่วยลดความผิดพลาดที่มนุษย์อาจทำ และช่วยสนับสนุนมนุษย์ในการตัดสินใจ

ผู้สื่อข่าวถาม ทุกวันนี้มอเตอร์สปอร์ตเติบโตมาก เรามีประวัติศาสตร์อยู่แล้ว และกำลังสร้างต่อเนื่องในไทย โดยเฉพาะกระแสของ “อเล็กซ์ อัลบอน” ในฟอร์มูลา วัน อยากทราบว่าอยากบอกอะไรกับเยาวชนไทยที่ภาคภูมิใจกับ FIA และกำลังก้าวสู่ความท้าทายในมอเตอร์สปอร์ตบ้าง

นายโมฮัมเหม็ด เยน ซูลาเยม ประธานสมาพันธ์ยานยนต์นานาชาติ (FIA) กล่าวว่า อันดับแรก เหมือนกีฬาอื่นๆ อย่ายอมแพ้ แต่อีกด้าน คุณต้องมีเครื่องมือ และต้องทำให้มอเตอร์สปอร์ตเข้าถึงได้ การเข้าถึงเกิดจากความสามารถในการจ่าย และด้วยธรรมชาติของกีฬามีค่าใช้จ่ายสูง ยกตัวอย่างเมื่อพูดถึงอัลบอน เขาเข้าสู่วงการอย่างไร ผ่านคาร์ทติ้งและระดับรากหญ้า ใครจะสามารถจ่ายราว 300,000 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อให้ลูกลงแข่งหนึ่งปีได้บ้าง ในยุโรปแพงมาก ดังนั้น FIA จึงมีความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ เราจึงเริ่มจากฐานราก ซึ่งมีสองเส้นทาง มี “ครอสคาร์” สำหรับพื้นกรวดไปสู่แรลลี่ และมี “คาร์ทติ้ง” สำหรับไปสู่การแข่งขันทางเรียบ ครอสคาร์เริ่มราว 8,000 ยูโร แต่ต่อมาพุ่งเป็น 30,000 ยูโร ไม่ใช่ราคาที่เข้าถึงได้ สิ่งที่เราทำคือปล่อยแบบพิมพ์เขียว และกำหนดข้อกำหนดความปลอดภัยจากนั้นผ่าน ASN (สมาคมกีฬายานยนต์แห่งชาติ) อย่าง RAAT ที่อยู่ในประเทศไทย สามารถคอยกำกับดูแลให้สามารถผลิตได้ในประเทศไม่ต้องนำเข้า ต้นทุนจึงลดลงไม่มีภาษีนำเข้า ไม่มีค่าเดินทาง และใช้แรงงานในประเทศของคุณเอง ในแอฟริกาและเอเชีย พิสูจน์แล้วว่าเข้าถึงได้มากขึ้น เหลือประมาณหนึ่งในสามของราคาเดิม นี่คือภาพรวมที่เห็น ความสมดุลยังไม่ดีนัก จีนกับอินเดียรวมกัน 2.8 พันล้านคน รวมประเทศอื่น ๆ ในเอเชียก็เกิน 3 พันล้าน แต่ถ้ามองจำนวนไลเซนส์แข่งขัน ยังน้อยเมื่อเทียบกัน ทว่าในยุโรป บางประเทศประชากรแค่ 6 ล้านคน แต่มีไลเซนส์แข่งขันราว 16,000 ใบ อัตราส่วนจึงไม่สมดุล ดังนั้น เราต้องการพัฒนามอเตอร์สปอร์ตด้วยการทำให้ระดับรากหญ้าเข้าถึงได้มากขึ้น นายโมฮัมเหม็ด เยน ซูลาเยม ประธานสมาพันธ์ยานยนต์นานาชาติ (FIA) กล่าว

นายพฤฒิรัตน์ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ นายกราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมาคมกีฬา “ร.ย.ส.ท.” กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ที่ทาง FIA เลือกประเทศไทย เป็นสถานที่จัดงานสัมมนา มอเตอร์สปอร์ต และความปลอดภัยบนถนน มีหลายประเทศเข้าร่วม ทำให้ทุกคนมารวมกลุ่ม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ควรจะเหมือนกันทั่วโลก ที่ผ่านมาต่างคนต่างทำ ซึ่งคนที่อยู่มอเตอร์สปอร์ตจะรู้ว่าการแข่งขันยานยนต์ ไม่ใช่แข่งความเร็วอย่างเดียว เรายังเน้นความปลอดภัย ทั้งใช้หมวกกันน็อค ชุดกันไฟ เซฟตี้เบลล์ ก็มาจากการแข่งขันรถยนต์ทั้งนั้น พร้อมทั้งเชิญชวน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เปิดรับสมัครสมาชิกใหม่ ซึ่งปัจจุบัน มีมากกว่า 5,000 คน

เชียงใหม่ CMUBS x MAT Exclusive Talk ฉลองครบ 60 ปี ผนึกพลังนักธุรกิจ การตลาด สร้างเวทีจุดประกายกลยุทธ์ฝ่าวิกฤติสู่อนาคต (คลิป)

CMUBS x MAT Exclusive Talk ฉลองครบ 60 ปี ผนึกพลังนักธุรกิจ การตลาด สร้างเวทีจุดประกายกลยุทธ์ฝ่าวิกฤติสู่อนาคต

วันนี้(8 ตค.68) คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMUBS) ร่วมกับสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) และสมาคมนักศึกษาเก่าบัญชีและบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดงาน “CMUBS x MAT Exclusive Talk” เฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีของสององค์กร ณ โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว ภายใต้แนวคิด “THRIVING IN TURBULENCE: Beyond Survival – พลิกวิกฤติ ปั้นกลยุทธ์ เติบโตสู่อนาคต” โดยได้รับความสนใจจากผู้บริหารองค์กร นักธุรกิจ นักการตลาด นักวิชาการ ตลอดจนนักศึกษาและผู้สนใจ จำนวนกว่า 400 คน ร่วมรับฟัง Talk แลกเปลี่ยนมุมมองเชิงกลยุทธ์ด้านธุรกิจและการตลาด เพื่อจุดประกายความคิดใหม่ สร้างแรงบันดาลใจ พร้อมเสริมสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างกัน

งานนี้จัดขึ้นในรูปแบบ Exclusive Dinner Talk ที่ผสมผสานบรรยากาศการเสวนาเชิงวิชาการสะท้อนพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วนตลอดจนความสนใจต่อประเด็นใหญ่แห่งยุคว่าด้วยการปรับตัวของธุรกิจในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน ไฮไลท์สำคัญคือเวทีเสวนาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน ครอบคลุม 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ Beyond Disruptions การวิเคราะห์ทิศทางอนาคตโลกธุรกิจ โดย ผศ. ดร.ก้องภู นิมานันท์ คณบดีคณะบริหารธุรกิจ มช., Beyond Survival การพลิกวิกฤติเป็นโอกาส โดยคุณปิยะชาติ อิศรภักดี CEO BRANDi และ Beyond Rivalry กลยุทธ์สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง นำโดยคุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ CEO TARAD.COM พร้อมด้วยคุณธานี ตรีวัฒนาวงศ์ เจ้าของ Online Channel “DB ซัวเถา” และคุณกษิดิศ สตางค์มงคล เจ้าของเพจ “DataRockie” ที่มาร่วมถ่ายทอดมุมมองด้านเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ และการตลาดเชิงข้อมูล (Data Marketing) โดยให้ข้อคิดเชิงลึกจากกูรูผู้เชี่ยวชาญ พร้อมเป็นพื้นที่แห่งการแลกเปลี่ยนมุมมอง การสร้างเครือข่าย(Networking) และการต่อยอดโอกาสทางธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด

ผศ. ดร.ก้องภู นิมานันท์ คณบดีคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อว่า คณะบริหารธุรกิจ มช. มุ่งเป็นศูนย์กลางแห่งการสร้างและพัฒนาความรู้ทางธุรกิจและการจัดการ ที่สามารถตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคมยุคใหม่ได้อย่างรอบด้าน โดยไม่จำกัดเพียงการเรียนรู้ในห้องเรียน แต่เชื่อมโยงองค์ความรู้สู่โลกธุรกิจจริง เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ภาคธุรกิจ ชุมชน และสังคมโดยรวม พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงบริบทของโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความผันผวนจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี ซึ่งทุกภาคส่วนจำเป็นต้องตระหนักและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ แนวคิดดังกล่าวจึงเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการจัดงานครั้งนี้ เพื่อเปิดเวทีให้ผู้ทรงคุณวุฒิได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจไทยให้ก้าวข้ามความท้าทายได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งสานต่อความร่วมมือระหว่างคณะฯ สมาคมนักศึกษาเก่าฯ และสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ในการจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อวงการการศึกษาและธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

คุณชาคริต ดิเรกวัฒนชัย เลขาธิการสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นวาระสำคัญที่ตรงกับการครบรอบ 60 ปีของสมาคมเช่นกัน ซึ่ง MAT ในฐานะศูนย์กลางแห่งองค์ความรู้และแรงบันดาลใจของวงการตลาดไทย มีความมุ่งมั่นที่จะขยายโอกาสด้านการเรียนรู้ให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค ไม่ใช่เพียงแค่ในเมืองใหญ่ เพราะการตลาดคือพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในทุกพื้นที่ ความร่วมมือกับคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการเฉลิมฉลอง แต่ยังเป็นการตอกย้ำบทบาทของสมาคมในการส่งต่อองค์ความรู้สมัยใหม่และแนวคิดเชิงกลยุทธ์แก่นักการตลาดไทยทุกระดับ พร้อมกล่าวเสริมว่า นักการตลาดยุคใหม่ต้องพร้อมปรับตัว เรียนรู้ และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะอยู่ในภูมิภาคใดของประเทศเพื่อสามารถสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ที่ MAT ยึดมั่นมาโดยตลอด

ด้านคุณบุญรัตน์ ตรีวัฒนาวงศ์ นายกสมาคมนักศึกษาเก่าบัญชีและบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงความภูมิใจที่ CMUBS สามารถสร้างโอกาส และสร้างอาชีพให้กับบัณฑิตมาแล้วกว่า 60 ปี ซึ่งการรวมพลังในครั้งนี้นับเป็นหนึ่งในพันธกิจของสมาคมในการร่วมต่อยอดความรู้ ส่งต่อโอกาสให้กับศิษย์ปัจจุบันของคณะต่อไป โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากงานนี้จะถูกนำไปเป็นทุนการศึกษาแก่รุ่นน้องคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถือเป็นการส่งต่อพลังและโอกาสจากรุ่นสู่รุ่นอย่างแท้จริง

 

สำหรับการครบรอบ 60 ปีของ CMUBS และ MAT ครั้งนี้ จึงไม่เพียงเป็นงานแห่งความยินดี แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการบูรณาการพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนองค์ความรู้ด้านธุรกิจและการตลาดไทย สู่การเติบโตที่ยั่งยืนในระดับภูมิภาค

เชียงใหม่ สายการบินแอร์เอเชีย เปิดตัวโฆษณาชุดใหม่ “แอร์เอเชีย ทำทุกช่วงเวลาให้ดีเสมอ” รับฤดูกาลท่องเที่ยวส่งท้ายปี เน้นย้ำความมุ่งมั่นของสายการบิน นอกจากจุดเเข็งด้านความตรงต่อเวลา

สายการบินแอร์เอเชีย เปิดตัวโฆษณาชุดใหม่ “แอร์เอเชีย ทำทุกช่วงเวลาให้ดีเสมอ” รับฤดูกาลท่องเที่ยวส่งท้ายปี เน้นย้ำความมุ่งมั่นของสายการบิน นอกจากจุดเเข็งด้านความตรงต่อเวลาแล้ว ยังพร้อมทำให้เวลาทุกวินาทีของผู้โดยสารเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ด้วยเวลาบินที่ดี ความถี่บินเยอะ เส้นทางบินที่หลากหลาย พร้อมประสบการณ์เเละช่วงเวลาดีๆ ทุกครั้งที่มาบิน

นางสาวธันย์สิตา อัครฤทธิภิรมย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า ในช่วงปลายปีเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวที่มีอัตราการเดินทางสูง ทั้งในและต่างประเทศ แอร์เอเชียจึงตอกย้ำภาพลักษณ์เเบรนด์ที่เเข็งเเกร่ง ผ่านโฆษณาชุดใหม่ที่ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องเวลา แต่ไม่ใช่เฉพาะความตรงต่อเวลาเท่านั้น ยังรวมไปถึงทุกๆ ช่วงเวลาในการเดินทาง ที่แอร์เอเชียพร้อมมอบประสบการณ์ในการเดินทางให้ดีเสมอ ตั้งเเต่ก่อนเดินทาง ซึ่งแอร์เอเชียมีเส้นทางบินภายในประเทศมากที่สุด และเส้นทางระหว่างประเทศหลากหลาย ช่วงเวลาบินเยอะ ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเลือกได้ตรงใจ จนถึงการสร้างประสบการณ์จริง ตั้งเเต่สนามบินจนถึงบนเครื่อง ก็จะได้รับบริการที่ประทับใจเช่นกัน เพื่อขอบคุณที่ไว้วางใจเลือกเดินทางกับเรา

ทั้งนี้หนังโฆษณาชุดใหม่ของแอร์เอเชีย เป็นเรื่องราวของผู้โดยสารคนหนึ่งของแอร์เอเชีย ที่บินลงเครื่องกลับมาที่ห้องแล้วทะเลาะกับแฟน ซึ่งแฟนบอกเธอให้ไปไหนก็ไป การบินกลับมาตรงเวลาเป๊ะจึงกลายเป็นการจับโป๊ะ และเป็นจุดเริ่มต้นของการออกเดินทางเพื่อลืมรักแย่ๆ ครั้งนี้ โดยมีแอร์เอเชีย คอยสนับสนุนให้ทุกการเดินทางของเธอ อยากไปไหนก็ไปได้อย่างที่ใจอยาก และทำให้เธอได้พบกับช่วงเวลาดีๆ ตลอดเวลาที่บินกับแอร์เอเชีย

เชียงใหม่ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ได้นำคณะสื่อมวลชนร่วมกิจกรรมสุดพิเศษตามเส้นทางท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อนักท่องเที่ยวมุสลิม (Muslim-Friendly Tourism) ในจังหวัดลำปาง (คลิป)

ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ได้นำคณะสื่อมวลชนร่วมกิจกรรมสุดพิเศษตามเส้นทางท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อนักท่องเที่ยวมุสลิม (Muslim-Friendly Tourism) ในจังหวัดลำปางเปิดประสบการณ์ใหม่ “Muslim-Friendly Tourism” ลำปาง ตามรอยศรัทธา ชิมข้าวซอยรสเลิศ และตำนานชามตราไก่

( 5 ตค.68) นายอิทธิรัฐ สินารักษ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ได้นำคณะสื่อมวลชนร่วมกิจกรรมสุดพิเศษตามเส้นทางท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อนักท่องเที่ยวมุสลิม (Muslim-Friendly Tourism) ในจังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริมและพัฒนา Soft Power เพื่อต่อยอดการท่องเที่ยวมูลค่าสูงในกลุ่มภาคเหนือตอนบน 1 (ลำพูน-ลำปาง)

สัมผัสความศรัทธา ณ มัสยิดอัลฟาลาฮ์ ศูนย์กลางชาวมุสลิมลำปาง คณะสื่อมวลชนได้เริ่มต้นทริปด้วยการเข้าเยี่ยมชม มัสยิดอัลฟาลาฮ์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ มัสยิดแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนาอิสลามและการทำละหมาด 5 เวลาต่อวันเท่านั้น แต่ยังเป็น โรงเรียนสอนศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับ รวมถึงเป็นศูนย์กลางในการต้อนรับแขกและสถานที่บรรยายธรรม

มัสยิดอัลฟาลาฮ์ยังเป็นที่ตั้งของชมรมมุสลิมลำปาง และมีบทบาทสำคัญในการอบรมศีลธรรมแก่เยาวชนมุสลิม โดยเข้าร่วมโครงการ “ลานบุญ ลานปัญญา” ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นศูนย์รวมจิตใจและปัญญาของชุมชนมุสลิมในลำปาง

ตามรอยตำนาน “ชามตราไก่” กิจกรรมที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือการเยี่ยมชม โรงงานเซรามิกธนบดีเดคอร์เซรามิค จำกัด (ผู้ผลิตถ้วยตราไก่) ที่มีอายุยาวนานกว่า 60 ปี ผู้ก่อตั้งคือ อาปาอี้ (ซิมหยู แซ่ฉิน) ปัจจุบันดูแลกิจการโดยทายาทรุ่นที่สอง คุณยุพิน และคุณพนาสิน ธนบดีสกุล คณะฯ ได้รับความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาและวิวัฒนาการของการทำ “ถ้วยตราไก่” ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของจังหวัดลำปาง

ชุมชนท่ามะโอ


นอกจากนี้ ยังได้เดินทางไปสัมผัสวิถีชุมชนที่ ท่ามะโอ เพื่อร่วม Work shop ผ้าย้อม และพลาดไม่ได้กับการชิม “ข้าวซอยมุสลิม” ร้านอาหารแนะนำที่โดดเด่นด้วยเมนูเนื้อไก่และเนื้อวัวที่ผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถัน จนได้เนื้อที่ นุ่มละลายในปาก สร้างความประทับใจด้านอาหารฮาลาลอย่างยิ่ง

ในช่วงบ่าย คณะฯ ได้เดินทางไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมืองลำปางในอดีตที่ มิวเซียมลำปาง เพื่อทำความเข้าใจถึงรากเหง้าของนครแห่งนี้

สถานีสุดท้ายของทริป Muslim-Friendly Tourism คือการเข้าเยี่ยมชม วิสาหกิจชุมชน “กลุ่มสมุนไพรลูกประคบเซรามิก” บ้านศาลาบัวบก อ.เกาะคา ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงด้านการทำเซรามิก คณะฯ ได้ฟังความเป็นมา และร่วมกิจกรรมผ่อนคลายด้วยการ ประคบเท้าด้วยลูกเซรามิกสมุนไพร เป็นการผสมผสานภูมิปัญญาการทำเซรามิกเข้ากับการดูแลสุขภาพอย่างลงตัว

การเดินทางในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นการ ยกระดับและเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวมุสลิม สะท้อนความพร้อมของลำปางในการเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจและเป็นมิตรสำหรับนักเดินทางจากทุกศาสนา

การท่องเที่ยวในลักษณะที่เน้นความหลากหลายทางวัฒนธรรมเช่นนี้ จะเป็นต้นทุนสำคัญในการพัฒนาต่อยอดสู่การท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูงในอนาคตของภาคเหนือตอนบน

 

เชียงใหม่ แอร์เอเชีย เสิร์ฟอาหารเหนือลอยฟ้า “ลำเเต้ ลำว่า”..ส่งท้ายปี ชุดขันโตกเมือง ข้าวซอยไก่ พร้อมเมนูใหม่จากสัปปะรดภูเเล สนับสนุนเกษตรกรไทย

แอร์เอเชียสานต่อเมนูผลไม้ ช่วยเกษตรกรไทย นำ “สัปปะรดภูเเล” ชูเป็นวัตถุดิบสร้างสรรค์เมนูอาหารเหนืออร่อยล้ำ ฉลองฤดูกาลท่องเที่ยว ไตรมาสสุดท้าย(ตุลาคม-ธันวาคม) ส่งท้ายปี นำโดยเมนูเหนือขนานเเท้ ชุดขันโตกเมือง (พร้อมผักสดเเละน้ำพริกหนุ่ม) ข้าวซอยไก่สัปปะรดภูเเล สัปปะรดภูเเลชีสเค้ก และน้ำสัปปะรดพริกเกลือ อร่อยไม่ซ้ำใคร ลำเเต้เฉพาะบนเที่ยวบินของไทยแอร์เอเชีย(เที่ยวบินรหัส FD) และไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์(เที่ยวบินรหัส XJ) เท่านั้น

นางสาวอรอนงค์ เมธาพิพัฒนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าและบริการบนเครื่องบิน สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า กล่าวว่า เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โครงการกระจายสินค้าเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยการนำผลไม้มาสร้างสรรค์เป็นเมนูจำหน่ายบนเครื่องบิน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกรมการค้าภายในและสายการบินไทยแอร์เอเชีย ได้รับรางวัลความเป็นเลิศทางความคิดสร้างสรรค์ Creative Excellence Awards 2025 จากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์(องค์การมหาชน) ตอกย้ำความสำเร็จ โดยไตรมาสที่เเล้วเป็นเมนูจากลำไย ในไตรมาสนี้ เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2568 เราจึงสร้างสรรค์เมนูใหม่ โดยผสมผสานระหว่าง “สัปปะรดภูเเล” ผลไม้ขึ้นชื่อจากเชียงราย เข้ากับเมนูยอดนิยมต่างๆ ของทางภาคเหนือ เป็นเมนูลอยฟ้าไอเดียใหม่ๆ ที่อยากให้ทุกคนได้ลิ้มลอง

“หลังจากไตรมาสที่เเล้วแอร์เอเชียนำเสนอเมนูอาหารใต้รสเเซบ เดือนตุลาคมนี้จึงเปิดตัวเมนูใหม่เป็นอาหารเหนือ ที่ผ่านการคิดเเละพัฒนาสูตรมาอย่างดี นอกเหนือจากความอร่อยเเบบลอยฟ้า เราภูมิใจที่ได้นำผลไม้ไทยที่หลากหลายของเกษตรกร มาสร้างสรรค์เป็นเมนูใหม่ๆ พร้อมกับการนำเสนออาหารที่มีเอกลักษณ์ในเเต่ละภาคให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นทั้งกับชาวไทยและต่างชาติที่เดินทางกับเรา” นางสาวอรอนงค์กล่าว

เมนูใหม่ประกอบไปด้วย “ชุดขันโตกเมือง” สำรับอาหารพื้นเมืองเหนือที่รวบรวมเมนูเด็ดเอาไว้ในถาดเดียว ไม่ว่าจะเป็นไส้อั่วไก่ ไก่ยอทอด น้ำพริกหนุ่ม เสิร์ฟคู่กับผักสด และข้าวเหนียว “ข้าวซอยไก่สับปะรดภูแล” ที่ผสมผสานเส้นบะหมี่กับน้ำแกงกะทิเข้มข้นหอมเครื่องแกงแบบเหนือ เสิร์ฟคู่กับไก่เนื้อนุ่ม พร้อมเครื่องเคียง ทั้งหอม มัน เผ็ดกำลังดี “ชีสเค้กสับปะรดภูแล” ความลงตัวของสับปะรดภูแลกับความเนียนนุ่มของชีสเค้ก ทำให้ได้รสชาติ หวานอมเปรี้ยวละมุนลิ้น และกลิ่นผลไม้สดที่สดชื่น “น้ำสับปะรดพริกเกลือ” เนื้อฉ่ำน้ำ ผสมกับ พริกสดบดและเกลือเล็กน้อย สดชื่น แปลกใหม่ต้องลอง เริ่มวางจำหน่ายทุกเที่ยวบินของไทยแอร์เอเชีย และไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 – 31 ธันวาคม 2568 เท่านั้น