เชียงใหม่ ศอ.ปกป.ภาค 3 สน.ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ยังคงจัดกำลังลาดตระเวนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าในพื้นที่

ศอ.ปกป.ภาค 3 สน.ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ยังคงจัดกำลังลาดตระเวนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าในพื้นที่

วันนี้ (18 เม.ย.68) เวลา 09.00 น.ที่ ศอ.ปกป.ภาค 3 สน. อ.แม่ริม พลตรีชายแดน กฤษณสุวรรณ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้า ( ศอ.ปกป.ภาค 3 สน.)นำกำลังชุดปฏิบัติการลาดตระวนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก จากกองพันพัฒนา ที่ 3 จำนวน 2 ชุดปฏิบัติการร่วมกับเจ้าหน้าที่จากอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ , สถานีควบคุมไฟป่าดอยอินทนนท์ , ส่วนราชการ ,ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านในพื้นที่ อำเภอจอมทอง ลงพื้นที่รณรงค์และลาดตระเวนแนวป้องกันไฟป่าเพื่อแก้ปัญหาไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่ บ้านแม่ปอน หมู่ 15 ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่เพื่อปฏิบัติงานด้านการลาดตระเวน เฝ้าระวังและรณรงค์ประชาสัมพันธ์งดการเผา เป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าในพื้นที่ ถึงแม้นว่าสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่จะคลี่คลายจนปริมาณฝุ่นละอองไม่ส่งผลกระทบกับประชาชน

ทั้งนี้ที่ผ่านมาศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาค 3 ส่วนหน้าได้กำหนดให้มีการจัดชุดปฏิบัติการลาดตระวนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็กจากหน่วยทหารของกองทัพภาคที่ 3 จำนวน 13 หน่วย 208 ชุด ปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.- 31 พ.ค.2568 ตามพื้นที่ควบคุมไฟป่า 14 กลุ่มป่าซึ่งมีพื้นที่รวมกว่า 44,708,436 ไร่ เพื่อให้การปฏิบัติงานเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามการจัดชุดปฏิบัติการลาดตระวนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็กยังสามารถสามารถปรับกำลังการปฏิบัติงานตามสถานการณ์ไฟป่าในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่เป้าหมายควบคุมพิเศษ พื้นที่รอยต่อลุ่มน้ำ รอยต่อระหว่างจังหวัด

ขณะที่ช่วงบ่ายของเมื่อวาน เฮลิคอปเตอร์ MI-17 (กองทัพบก โดย กองทัพภาคที่ 3) บินลาดตระเวนและดับไฟป่าบริเวณ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยปฏิบัติการดับไฟ จำนวน 6 เที่ยวบิน, ปริมาณน้ำ จำนวน 21,000 ลิตร

เชียงใหม่ นายอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธาน ร่วมกับอดีตนางสาวถิ่นไทยงาม ที่ปรึกษาอาวุโส ฝ่ายประชาสัมพันธ์ เดอะมอลล์กรุ๊ป รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ 4 หมู่บ้าน อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เกือบ 200 คนในงานประเพณีปี๋ใหม่เมือง(คลิป)

นายอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธาน ร่วมกับอดีตนางสาวถิ่นไทยงาม ที่ปรึกษาอาวุโส ฝ่ายประชาสัมพันธ์ เดอะมอลล์กรุ๊ป รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ 4 หมู่บ้าน อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เกือบ 200 คนในงานประเพณีปี๋ใหม่เมือง อายุมากที่สุดแม่อุ้ย สม ชื่นเดช อายุ 105 ปี เคล็ดลับกินข้าวกับน้ำพริกผักลวก และยังแข่งขันการทำอาหารพื้นเมือง แกงแคไก่กับแกงโฮะ สืบสานวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่น


คุณแม่ นงนุช นามวงค์ อายุ 79 ปี อดีตนางสาวถิ่นไทยงามจังหวัดเชียงใหม่ ที่ปรึกษาอาวุโสงานประชาสัมพันธ์ เดอะมอลล์กรุ๊ป เปิดบ้านสวน ในหมู่บ้านหนองสี่แจ่ง ตำบลหนองแฝก อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ รดน้ำดำหัว ผู้สูงอายุ 4 หมู่บ้าน ทั้งหมู่บ้านหนองแฝก หมู่บ้านกู่แดง หมู่บ้านสันป่าสัก และหมู่บ้านหนองสี่แจง เกือบ 200 คน โดยมีนาย วรุตม์ วิศิษฎ์ศิลป์ นาย อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ มาเป็นประธาน อายุมากที่สุด แม่อุ้ย สม ชื่นเดช อายุ 105 ปี ชาวบ้านหนองแฝก พร้อมบอกเคล็ดลับอายุยืน กินแต่น้ำพริกผักลวก และน้องสาว แม่อุ้ย อิ่นแก้ว ประดับ อายุ 95 ปี ชาวบ้านหนองแฝก ยังมีสุขภาพแข็งแรง และสายตาดี ซึ่งผู้สูงอายุ ที่มาในวันนี้ อายุรวมกันกว่าหมื่นปี ส่วนใหญ่อายุ 70 ปีขึ้นไป และยังได้นิมนต์ ท่านเจ้าคุณ พระเทพรัตนนายก เจ้าอาวาส วัดพระธาตุหริภุญชัย ตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดลำพูน มาแสดงพระธรรมเทศนา เป็นหลัก ในการดำเนินชีวิต ในช่วงเทศกาลปีใหม่ หรือประเวณีปี๋ใหม่เมือง ประจำ ปี 2568 พร้อมทั้งยังจัดเลี้ยงอาหาร และมอบเงินขวัญถุง ให้กับผู้สูงอายุ ที่มาร่วมงานทุกคน

โอกาสเดียวกัน ยังได้จัดให้มีกิจกรรม การแข่งขัน ปรุงอาหารพื้นเมือง มีทั้งแกงโฮ๊ะ กับแกงแคไก่ สืบสานวัฒนธรรม อาหารพื้นถิ่น และสร้าง ความสามัคคี ในชุมชน ผลการแข่งขัน หมู่บ้านหนองสี่แจ่ง ปรุงแกงเคไก่ได้รับรางวัลชนะเลิศ รับเงิน 3,000 บาท ส่วนหมู่บ้านสันป่าสัก ได้รางวัลรองชนะเลิศรับเงินรางวัล 2,000 บาท ส่วนแกงโฮะ หมู่บ้านกู่แดง ชนะเลิศได้รับเงินรางวัล 3,000 บาท และหมู่บ้านหนองแฝก ได้รองชนะเลิศ รับเงินรางวัล 2,000 บาท

นอกจากนั้น ยังมีการแข่งขันร้องเพลง พร้อมหางเครื่อง สร้างสีสันสร้างความสุข ให้กับผู้สูงวัย ที่ได้มาพบปะกัน

เชียงใหม่ ประธานมูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ/มูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนาเตรียมประกอบพิธีบูชาบวงสรวงองค์บูรพมหากษัตริย์ล้านนาไทย ภายในงานพิธีสมโภชเชียงใหม่ครบรอบ 729 ปี วันที่ 19 เ.ย.68

ประธานมูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ/มูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนาเตรียมประกอบพิธีบูชาบวงสรวงองค์บูรพมหากษัตริย์ล้านนาไทย ภายในงานพิธีสมโภชเชียงใหม่ครบรอบ 729 ปี วันที่ 19 เมษายน 2568


วันนี้(13 เม.ย.68) เวลา 09.30 น. อาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ ประธานมูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ/ประธานมูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนาเปิดเผยว่า จังหวัดเชียงใหม่กำหนดจัดงาน พิธีสมโภชเชียงใหม่ 729 ปี ในวันเสาร์ ที่ 19 เมษายน 2568 ตั้งแต่เวลา 10.00 น.เป็นต้นไป ซึ่งทางมูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ/มูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนา ได้มีส่วนร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่ โดยรับเกียรติเป็นประธานในการประกอบพิธีบูชาบวงสรวงองค์บูรพมหากษัตริย์ล้านนาไทย และพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ตลอดจนถึงการบูชาทวยเทพเทวา 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน และบูชาเสื้อบ้านเสื้อที่ท่านได้ปกปักรักษาดูแลเมืองเชียงใหม่และประเทศไทย ให้เจริญรุ่งเรืองส่งผลให้ชาวเชียงใหม่และชาวไทยทุกคนมีแต่ความสุข สงบ ร่มเย็น และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

พิธีบวงสรวงใหญ่ในครั้งนี้ทางมูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ/มูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนา ร่วมกับคุณภีชญา กริ่มวงศ์รัตน์ และคณะศิษยานุศิษย์ เป็นเจ้าภาพ จะจัดพิธีที่ยิ่งใหญ่สมบูรณ์แบบที่สุด และถูกต้องตามจารีตประเพณีโบราณกว่าที่เคยจัดมา เพื่อตอบแทนให้สมพระเกียรติบูรพกษัตริย์ราชวงศ์แห่งล้านนาไทยทุกพระองค์ โดยไม่ใช้งบประมาณของแผ่นดิน ซึ่งงบประมาณในการจัดเครื่องบวงสรวงถวายฯ เป็นจำนวนเงิน 600,000 บาท

ประธานมูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ/ประธานมูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนากล่าวต่อว่าสำหรับงบประมาณที่ทางราชการได้มอบให้กับมูลนิธิฯ เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาทนั้น ทางมูลนิธิฯ จะนำไปจัดเป็นกองผ้าป่ามอบถวายในวันเสาร์ที่ 19 เมษายน 2568 ให้กับวัดอินทขิล(สะดือเมือง) อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสืบสานศาสนาต่อไป พร้อมกันนั้นจะมีการแจกทาน ทั้งข้าวสาร ยารักษาโรค รวมทั้งทุนทรัพย์ให้กับผู้ยากไร้จำนวน 500 คน มูลค่า 200,000 บาท เพื่อเป็นการทำบุญใหญ่ให้บ้านเมือง ในวาระครบรอบ 729 ปีของเมืองเชียงใหม่ ซึ่งใช้งบของมูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ- มูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนา ตลอดจนคุณภีชญา กริ่มวงศ์รัตน์และคณะศิษยานุศิษย์ ที่จะเวียนมาถึงในครั้งนี้ ถือเป็นบุญที่ส่งต่อให้ผู้ที่มีหน้าที่ต่อบ้านเมืองทุกท่านที่ได้มาร่วมแรงร่วมใจทำงานเพื่อเมืองเชียงใหม่ของเรา และคณะศิษย์ยานุศิษย์หลวงปู่เฒ่าเกวาลันแห่งเทือกเขาหิมาลัย จะได้มาร่วมอนุโมทนายินดี โดยอานิสงส์ในการสร้างบุญในครั้งนี้จะส่งผลให้ทุกคนมีอายุมั่นขวัญยืน ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เป็นผู้มีสุขภาพที่ดี ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

เชียงใหม่ วัดพระธาตุดอยคำอัญเชิญพระรอดหลวงอายุกว่า 1,338 ปี มาให้ประชาชนได้สรงน้ำ ในช่วงเทศกาลสงกราต์(คลิป)

วัดพระธาตุดอยคำอัญเชิญพระรอดหลวงอายุกว่า 1,338 ปี มาให้ประชาชนได้สรงน้ำ ในช่วงเทศกาลสงกราต์ พร้อมให้ประชาชนได้สักการะท้าวเวสสุวรรณองค์ใหญ่สูง 17 เมตร ที่ทางวัดพึ่งจะจัดพิธีมหาเทวาภิเษก พร้อมพิธีสวดภาณยักษ์ เสริมดวงชะตา สะเดาะเคราะห์รับปีใหม่สงกรานต์ตามแบบฉบับล้านนาเมื่อวันที่ 6 เมษายน 68 ที่ผ่านนี้เอง

วันนี้(12 เม.ย.68) ที่วัดพระธาตุดอยคำ ต.แม่เหียะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ได้เปิดให้ประชาชน-นักท่องเที่ยวที่เดินทางขึ้นไปสักการะขอพรหลวงพ่อพรเจ้าทันใจ พร้อมเปิดให้ประชาชนได้สรงน้ำพระรอดเนื่องในช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือประเพณีปี๋ใหม่เมือง ซึ่งทางวัดได้อัญเชิญพระรอดออกมาจากวิหารวัด โดยพระรอดวัดพระธาตุดอยคำมีอายุกว่า 1,338 ปี ต้องใช้เจ้าหน้าที่วัดถึง 6-7 คน จึงจะยกพระรอดออกมาเพราะพระรอดมีน้ำหนักมากทำจากหินทราย จากนั้นได้ให้ประชาชนที่เดินทางขึ้นไปกราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทางวัดได้เตรียมน้ำขมิ้นส้มป่อย เมื่อสรงองค์พระรอดหลวงให้แล้วนำน้ำที่สรงมาประพรมศีรษะ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว

พระครูสุนทรเจติยารักษ์ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยคำ เจริญพรว่า วันนี้ถือเป็นวันดีที่ได้เปิดให้สรงน้ำพระรอดหลวง จึงได้อัญเชิญพระรอดหลวงมาประดิษฐานด้านหน้าวิหารของวัดเพื่อให้ประชาชนได้เดินทางมาร่วมสรงน้ำเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ และหลังจากเสร็จสิ้นประเพณีปีใหม่เมือง ก็จะได้อัญเชิญพระรอดหลวงกลับขึ้นไปภายในวิหารวัดตามเดิม

สำหรับพระรอดหลวงถูกค้นพบเมื่อคราวกรุวัดพระธาตุดอยคำแตก เมื่อปี 2509 มีขนาดหน้าตักกว้าง 50 เซนติเมตร สูง 1 เมตร ต้องใช้คน 6-7 คน จึงจะยกขึ้นได้ ซึ่งเล่ากันว่าสมัยก่อนมีคนมาขโมยขุดเจาะหาสมบัติ แต่ไม่สามารถยกเอาพระรอดหลวงองค์นี้ออกไปได้ สันนิษฐานว่าพระรอดหลวงมีอายุเท่ากับวัด ที่เชื่อกันว่าสร้างโดยพระโอรสทั้ง 2 ในสมัยพระนางจามเทวี ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 1,338 ปี ขณะเดียวกันทางวัดก็จัดสร้างท้าวเวสสุวรรณที่มีความสูงถึง 17 เมตร และจัดพิธีมหาเทวาภิเษกท้าวเวสสุวรรณ พร้อมพิธีสวดภาณยักษ์ เสริมดวงชะตา สะเดาะเคราะห์รับปีใหม่สงกรานต์ตามแบบฉบับล้านนาเมื่อวันที่ 6 เมษายน 68 ที่ผ่านนี้เอง

เชียงใหม่ ประชาชน และนักท่องเที่ยว แห่ลอดท้องช้างและติดทองคำเปลว พญาลึงค์ หรืออวัยวะเพศพญาช้างเอราวัณสามเศียร ที่มหาเทพตะเคียนทอง หน้าวงช้างพืชสวนโลกเชียงใหม่ ตามความเชื่ออายุยืน (คลิป)

ประชาชน และนักท่องเที่ยว แห่ลอดท้องช้างและติดทองคำเปลว พญาลึงค์ หรืออวัยวะเพศพญาช้างเอราวัณสามเศียร ที่มหาเทพตะเคียนทอง หน้าวงช้างพืชสวนโลกเชียงใหม่ ตามความเชื่ออายุยืน

เมื่อค่ำวานนี้ ( 11 เม.ย.68) ที่ลาน “มหาเทพตะเคียนทอง” หน้าวงเวียนช้าง(ขาออก) หน้าอุทยานหลวงราชพฤกษ์ (พืชสวนโลก) อ.เมือง จ.เชียงใหม่ สถานที่ประดิษฐานพญาช้างเอรวัลสามเศียร เป็นประติมากรรมแกะสลักไม้ตะเคียนทอง ใหญ่ที่สุดในโลก สูง 15 เมตร น้ำหนัก 73 ตัน ที่เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ ของชาวเชียงใหม่

อาจารย์เข้ม มฤคพิทักษ์ แห่งบ้านร้อยทวารบาล บ้านเทวาลัย นำไม้ตะเคียนทองที่เป็นประติมากรรมแกะสลักพญาช้างเอราวัณ มีพระอินทร์ประทับอยู่บนหลังช้าง ทำจากไม้ตะเคียนทอง อายุหลาย 100 ปี ที่พบในแม่น้ำปิง จ.เชียงใหม่ เมื่อหลายปีก่อน ใช้รถบรรทุก 10 ล้อ บรรทุกมากถึง 17 คัน ในการขนนำมาแกะสลัก โดยสล่าทอง หรือ นายวงศ์ทอง ประสงค์ทรัพย์ พร้อมกับสล่าจากอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่รวม 7 คน ใช้เวลาแกะสลักนานกว่า 4 ปี จึงได้ประติมากรรม พญาช้างเอราวัณที่สวยงาม ขนาดความยาวกว่า 10 เมตร และความกว้าง 8 เมตร สูง 15 เมตร เป็นช้างสามเศียร น้ำหนักประมาณ 73,000 กิโลกรัม หรือ 73 ตัน เชื่อว่าเป็นประติมากรรม พระอินทร์ทรงพญาช้างเอราวัณ องค์ใหญ่ที่สุดในโลก เชื่อว่าไม่มีไม้แกะสลักชิ้น ไหนในโลกที่มีขนาดใหญ่กว่านี้


วันนี้ได้นำมาประดิษฐานไว้ที่บริเวณเทวาลัยริมถนนราชพฤกษ์ เป็นศักดิ์ศรีของสล่าเชียงใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นถนนสายสักการะ เส้นทางนี้มีพระเจ้าทันใจ วัดพระธาตุดอยคำ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทำพิธีบวงสรวง และนำนางรำ มารำถวายบริเวณหน้าพญาช้างเอราวัณ โดยมีประชาชนที่มีความศรัทธามาร่วมพิธี ประชาชนที่มาร่วมพิธีได้นำทองคำเปลวไปติดที่พญาลึงค์ ของพญาช้างเอราวัณ ขอพร และความเป็นสิริมงคล

อาจารย์เข้ม ยังบอกอีกว่า การเข้ามาสักการะไม่ได้มีการเก็บค่าใช้จ่าย แต่ขึ้นอยู่กับความศรัทธาจะทำบุญหรือไม่ทำบุญก็ได้ หากมาแล้วต้องมาลอดท้องช้างเป็นสิริมงคล เป็นช้างมหาเทพ และการติดทองคำเปลวพญาลิงค์ช้างเอราวัณ การติดมีความหมายว่า ไปขอพรให้เรามีความสุข ให้แข็งแรงให้อายุยืน เหมือนช้าง และให้มีโชคลาภ จึงขอเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่มาเที่ยวเชียงใหม่ ได้แวะมาสักการะขอพรและลอดท้องช้าง ติดทองคำเปลวพญาลึงค์