เชียงใหม่ MASTEC หนึ่งในผู้นำโซลูชั่นเทคโนโลยีวิศวกรรมระบบอาคารเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจร เดินสายโรดโชว์เชียงใหม่ นักลงทุนต้อนรับคับคั่ง เตรียมเสนอขายหุ้น IPO 79 ล้านหุ้น คาดเข้าซื้อขายใน SET ปีนี้(คลิป)

บมจ.แมสเทค ลิ้งค์ หรือ MASTEC เดินสายจัดกิจกรรมโรดโชว์ จังหวัดเชียงใหม่ ตามแผนเดินสาย  10 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่ สร้างความเข้าใจถึงโมเดลการดำเนินธุรกิจและศักยภาพการเติบโตเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ก่อนเตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 79 ล้านหุ้น เริ่มต้นที่จังหวัดชลบุรี ก่อนปิดท้ายที่กรุงเทพฯ ในระหว่างวันที่ 10 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2568 คาดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ SET ภายในครึ่งปีหลังของปีนี้

ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนจะนำ MASTEC เพื่อเดินสายนำเสนอข้อมูล (Roadshow) ให้แก่นักลงทุนใน 10 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่ ในระหว่างวันที่ 10 มิถุนายนถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 เพื่อสร้างความเข้าใจถึงโมเดลการดำเนินธุรกิจและศักยภาพการเติบโตของ MASTEC ที่มีเป้าหมายเป็นผู้นำเสนอโซลูชั่นเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมของงานระบบอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจรให้แก่ลูกค้า โดยกิจกรรมโรดโชว์ดังกล่าวจะเริ่มจัดขึ้นที่จังหวัดชลบุรีเป็นจังหวัดแรกในวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ก่อนปิดท้ายที่กรุงเทพฯ ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 โดยคาดว่าจะสามารถนำหุ้น MASTEC เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ภายในครึ่งปีหลังของปีนี้

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า MASTEC มีศักยภาพการเติบโตที่ดีจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากกว่า 25 ปี ในธุรกิจนำเข้าและจัดหาผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรมเพื่อจำหน่าย และการให้บริการโซลูชั่นที่ครอบคลุม ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศและสุขาภิบาล ผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัยและผลิตภัณฑ์ความปลอดภัย และผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายให้แก่ซัพพลายเออร์ชั้นนำรวม 30 ราย โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว(Exclusive Distributor) จำนวน 6 แบรนด์ ได้แก่ FRESE,FIVALCO, CHANGDER, FIREGUARD, ECO-WATER/ENVIROSWIM และ BOCA และเป็นตัวแทนจำหน่ายทั่วไป (Non-Exclusive Distributor) รวม 24 แบรนด์เช่น VIKING, REFLEX, NIHON SPINDLE, JOHNSON-CONTROLS และ TDT เป็นต้น นอกจากนี้ยังจัดหาผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากซัพพลายเออร์รายอื่นอีกมากกว่า 150 แบรนด์ อีกทั้งมีผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ ได้แก่ VALOR ผลิตภัณฑ์วาล์วที่ใช้ในระบบปรับอากาศและสุขาภิบาล และ ZERO FIRE เป็นอุปกรณ์ตู้ดับเพลิง จึงทำให้ MASTEC สามารถนำเสนอโซลูชั่นด้านวิศวกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในกลุ่มผู้รับเหมา กลุ่มเจ้าของโครงการและกลุ่มร้านค้าหรือตัวแทนจำหน่ายได้เป็นอย่างดี

นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวว่า MASTEC เตรียมพร้อมจะเสนอขายหุ้น IPOจำนวนไม่เกิน 79 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 26.33 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญ โดยนำเงินที่ได้จากการระดมทุนรองรับแผนรุกธุรกิจในกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรมสำหรับตลาดอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม และเป็นเงินทุนสำหรับรองรับธุรกิจใน Synergy Products ของกลุ่มผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัย รวมถึงขยายช่องทางการตลาดให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการ

นายดุษฎี มีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมสเทค ลิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTEC กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งสู่การเป็นผู้นำเสนอโซลูชั่นเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมของงานระบบอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจรให้แก่ลูกค้า โดยมีทีมวิศวกรและทีมผู้เชี่ยวชาญสำหรับการให้บริการตั้งแต่การทำความเข้าใจแบบวิศวกรรม ออกแบบระบบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ จำหน่าย ศึกษา ตรวจสอบ ให้คำปรึกษา เพื่อนำเสนอโซลูชั่นที่เหมาะสมทั้งด้านเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ ข้อกำหนดกฎหมายที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องงบประมาณโดยรวมของลูกค้าครอบคลุมถึงให้บริการติดตั้ง ตรวจสอบ ซ่อมแซมและบำรุงรักษาผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรมเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย

1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศและสุขาภิบาล ได้แก่อุปกรณ์ประกอบระบบทำความเย็นขนาดใหญ่ด้วยน้ำ (Chiller) และทำความเย็นด้วยน้ำยา (Refrigerant), อุปกรณ์ประกอบระบบระบายความร้อนออกจากเครื่องทำความเย็นด้วยน้ำ (Water Cooled) ประกอบด้วย วาล์วเปิดปิดน้ำ (Manual Valve), วาล์วควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ ( 2way และ PICV Control Valve), เครื่องสูบน้ำเย็น (Chilled Water Pump) เพื่อสูบส่งน้ำเย็นเข้าสู่ระบบ,หอผึ่งน้ำ (Cooling Tower), ระบบบำบัดน้ำ (Water Treatment system) สำหรับน้ำเย็นและน้ำระบายความร้อนเพื่อให้ระบบปรับอากาศทำงานได้ประสิทธิภาพสูงสุด ท่อส่งลมเย็นพร้อมฉนวนกึ่งสำเร็จรูป (Pre-Insulated Duct: PID) นอกจากนี้ ยังจำหน่ายท่อทองแดงเพื่อส่งจ่ายน้ำยาแอร์ในระบบปรับอากาศขนาดเล็กถึงขนาดกลาง และอุปกรณ์ประกอบระบบสุขาภิบาลในอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่ ประกอบด้วย เครื่องสูบน้ำดี, เครื่องสูบน้ำระบบบำบัดน้ำเสีย, วาล์วเปิดปิด (Manual Valve), วาล์วควบคุมอัตโนมัติทั้งความดันและอัตราการไหล เป็นต้น

2. กลุ่มผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัยและผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย ได้แก่ อุปกรณ์ประกอบระบบดับเพลิงอัตโนมัติด้วยน้ำทั้งระบบ เริ่มตั้งแต่ปั๊มน้ำดับเพลิง (Fire Pump) เพื่อสูบน้ำเข้าระบบดับเพลิง, หัวกระจายน้ำดับเพลิง (Sprinkler), ตู้ดับเพลิงพร้อมทั้งวาล์วที่แจ้งสถานะความพร้อมของระบบดับเพลิงและแจ้งเตือนเพลิงไหม้ และอุปกรณ์ประกอบระบบป้องกันไฟลามในระบบโครงสร้างอาคารและพื้นที่ช่องเปิดเพื่อป้องกันไฟลุกลาม ประกอบด้วย ปูน Mortar กันไฟ, Silicone กันไฟ Composite sheet เป็นต้น 

3. กลุ่มผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ อุปกรณ์ประกอบระบบบำบัดและฆ่าเชื้อโรคในน้ำสำหรับสระว่ายน้ำโดยไม่ใช้สารเคมีเพื่อทดแทนระบบคลอรีนหรือคลอรีนจากเครื่องเกลือ ผ่านการรับรองความปลอดภัยจาก NSF สหรัฐอเมริกา และ Cooling Tower ปลอดสารเคมีเพื่อกำจัดตะไคร่และเชื้อ legionellosis ที่ทำให้ปอดอักเสบเฉียบพลัน อีกทั้งป้องกันการเกิดตระกรันรวมถึงกำจัดตระกรันที่มีอยู่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบปรับอากาศและลดการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างยั่งยืน, อุปกรณ์ประกอบระบบกำจัดฟองอากาศและควบคุมความดันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ ช่วยลดการใช้พลังงานและสารเคมีรวมถึงลดค่าใช้จ่ายการซ่อมบำรุงรักษาและช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น, อุปกรณ์ประกอบระบบโซลาร์เซลล์ ประกอบไปด้วย แผ่น Solar Cell, Inverter, Mounting Equipment, PV Cable และ Battery เพื่อเป็นพลังงานทางเลือกปลอดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดค่าไฟสำหรับครัวเรือน อาคารพาณิชย์และโรงงานอุตสาหกรรมและอุปกรณ์ประกอบระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) ที่มีมาตรฐานสูงพร้อมระบบ Web Application เพื่อการบริหารจัดการให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดและรายงานสถานะการใช้งาน Real Time บน Platform Online

“เราพร้อมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET เพื่อรองรับแผนขยายธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมั่นใจว่าการนำเสนอข้อมูลครั้งนี้ จะทำให้นักลงทุนมีความเข้าใจในโมเดลธุรกิจและศักยภาพการดำเนินธุรกิจเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต จึงเชื่อว่าหากเปิดให้นักลงทุนได้เข้ามาจองซื้อหุ้น IPO จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน” นายดุษฎี กล่าว

เชียงใหม่ เปิดงาน World Food Safety Day 2025 “Grow Well Eat Well” กระบวนการผลิตที่ดี และการบริโภคที่ปลอดภัย (คลิป)

ผู้อำนวยการกองพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐาน เป็นประธานในพิธีเปิด World Food Safety Day 2025 “Grow Well Eat Well “กระบวนการผลิตที่ดี และการบริโภคที่ปลอดภัย มีคุณภาพ สู่อนาคตที่ยั่งยืน”

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 ที่ ONE NIMMAN ZONE ONE SALA จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีพิธีเปิดงาน World Food Safety Day 2025 “Grow Well Eat Well กระบวนการผลิตที่ดี และการบริโภคที่ปลอดภัย มีคุณภาพ สู่อนาคตที่ยั่งยืน” โดยมีนายเสกสรรค์ วรรณกรี ผู้อำนวยการกองพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐาน เป็นประธานในพิธีเปิดพร้อมด้วย ศ.ดร.นพ.กระแส ชนะวงศ์ ประธานกรรมการมูลนิธิรักไทย พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมในพิธีเปิดในครั้งนี้


จังหวัดเชียงใหม่เป็นหนึ่งในพื้นที่สำคัญของประเทศไทย ทั้งในด้านการผลิตทางการเกษตรและการท่องเที่ยว ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลาย ผสมผสานระหว่างพื้นที่ราบเชิงเขาและพื้นที่สูง ทำให้สามารถปลูกพืชอาหารได้หลากหลายชนิดตลอดทั้งปี ส่งผลให้จังหวัดเชียงใหม่เป็นแหล่งผลิตพืชอาหารที่สำคัญของภาคเหนือและของประเทศ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความนิยมเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรม ซึ่งผลผลิตทางการเกษตรของเกษตรกรในท้องถิ่นนอกจากจะถูกนำมาใช้บริโภคภายในพื้นที่แล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมภาพลักษณ์และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กระแสของการบริโภคอาหารอย่างปลอดภัยและการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมได้รับความสนใจมากจากผู้บริโภคทั่วโลก ผู้คนหันมาเลือกอาหารที่ปลอดภัยจากสารเคมีตกค้าง ใส่ใจที่มาของวัตถุดิบ และสนับสนุนผู้ผลิตรายย่อยที่คำนึงถึงอาหารปลอดภัย และระบบนิเวศ ซึ่งแนวโน้มนี้ส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยในจังหวัดเชียงใหม่และพื้นที่ใกล้เคียงให้ความสำคัญกับการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ได้มาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น มาตรฐาน GAP และ Organic ที่ได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตร รวมถึงการแปรรูปและพัฒนาสินค้าให้เหมาะสมกับตลาดที่ต้องการคุณภาพ ปลอดภัย และความยั่งยืน

เพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มดังกล่าว และเพื่อร่วมรณรงค์ในระดับสากลตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ที่กำหนดให้วันที่ 7 มิถุนายนของทุกปีเป็นวันอาหารปลอดภัยโลก (World Food Safety Day) มูลนิธิรักษ์ไทยร่วมกับภาคีเครือข่ายจึงมีแผนการจัดกิจกรรม “World Food Safety Day 2025: Grow Well, Eat Well” ภายใต้แนวคิด “กระบวนการผลิตที่ดี และการบริโภคที่ปลอดภัย มีคุณภาพ สู่อนาคตที่ยั่งยืน” เพื่อส่งเสริมองค์ความรู้เรื่องอาหารปลอดภัย สร้างความตระหนักในหมู่ประชาชน ส่งเสริมบทบาทของเกษตรกรรายย่อยและผู้ผลิตในท้องถิ่น และเปิดโอกาสทางการตลาดให้กับผลผลิตที่ปลอดภัยจากชุมชน สู่ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพอย่างแท้จริง

กิจกรรมในครั้งนี้ยังมีเป้าหมายในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนในการพัฒนา “ระบบอาหารปลอดภัย” ที่เชื่อมโยงมิติของสุขภาพ เศรษฐกิจฐานราก และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสังคมไทยโดยรวม

โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านอาหารปลอดภัยผ่านกิจกรรมเสวนา และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานพืชอาหารปลอดภัย จากเกษตรกรผู้เพาะปลูก ผู้จัดหาผลผลิตทางการเกษตร Suplier และผู้บริโภค, เพื่อรณรงค์สร้างความตระหนักรู้เรื่องความปลอดภัยทางอาหารในทุกระดับของสังคมโดยเน้นย้ำบทบาทของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้บริโภคในการร่วมกันส่งเสริมระบบอาหารที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับแนวทางของวันอาหารปลอดภัยโลก (World Food Safety Day) ที่มุ่งให้ทุกภาคส่วน “รู้คิด ตระหนัก ปฏิบัติ” เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอาหารที่ไม่ปลอดภัย, เพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกันของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกิจพืชอาหารปลอดภัย เพื่อให้ส่งเสริมเกษตรกรรายย่อย วิสาหกิจชุมชน และผู้ผลิตพืชอาหารปลอดภัยให้เข้าถึงทางการตลาด ด้วยความร่วมมือ และสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไป


โครงการ “เพาะดี กินดี” เป็นหนึ่งในโครงการของมูลนิธิรักษ์ไทยที่ดำเนินงานในพื้นที่ภาคเหนือ ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชนและภาควิชาการ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยให้สามารถพัฒนาระบบการผลิตพืชอาหารปลอดภัยตามมาตรฐาน GAP ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการรวมกลุ่มของเกษตรกรในรูปแบบวิสาหกิจชุมชนและงานด้านการตลาด โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัท ซินเจนทา ครอป โปรเทคชั่น จำกัด ปัจจุบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการได้รับการพัฒนาศักยภาพจากโครงการและการรับรองมาตรฐานพืชอาหารปลอดภัย GAP จากสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ สามารถผลิตและจำหน่ายพืชผักที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP สู่ตลาดประมาณ 11,000 กิโลกรัมต่อเดือนส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อร่วมรณรงค์ในโอกาสวันอาหารปลอดภัยโลก (World Food Safety Day) และเผยแพร่ประสบการณ์และบทเรียนของเกษตรกร มูลนิธิรักษ์ไทย ร่วมกับภาคีเครือข่าย จึงกำหนดจัดกิจกรรม “World Food Safety Day 2025: Grow Well, Eat Well” ภายใต้แนวคิด “กระบวนการผลิตที่ดี และการบริโภคที่ปลอดภัย มีคุณภาพ สู่อนาคตที่ยั่งยืน”


และภายในงานมีการจัดนิทรรศการ และบูธจำหน่ายผักปลอดภัยและผลิตภัณฑ์ชุมชน มีการจัดแสดงบูธแนะนำโครงการ และองค์กรภาคีนิทรรศการโครงการ เพาะดี กินดี Syngenta Thailand มูลนิธิรักษ์ไทย และภาคีเครือข่าย บูธจำหน่ายผลผลิตและผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยจากชุมชนและวิสาหกิจท้องถิ่น พืชผักพันธุ์ท้องถิ่น และพืชผักปลอดภัย ข้าวพันธุ์ท้องถิ่นจากชุมชนท้องถิ่นและกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง, กาแฟ จากเกษตรกรผู้ปลูก และแปรรูปกาแฟ, ผลิตภัณฑ์จากฐานภูมิปัญญาท้องถิ่นและฐานชีวภาพ เช่น ผ้าทอย้อมสีธรรมชาติของชุมชนคนเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ ผลิตภัณฑ์หวายจากเกษตรกรผู้ปลูกหวาย, Work Shop อาหารปลอดภัย จากเกษตรกรผู้ปลูก สู่เมนูยอดนิยม (ซูชิข้าวดอย สลัดโรล กาแฟดริป), กิจกรรมบนเวที กิจกรรมสร้างความสนุกสนาน กระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วมงาน และส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับอาหารปลอดภัย, กิจกรรมสื่อสาร พืชอาหารปลอดภัย และมีบรรยายพิเศษเรื่อง “GAP ไม่ใช่แค่ใบรับรอง…แต่คือโอกาสของเกษตรกรายย่อย” โดย ผู้แทนจากสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 1 เชียงใหม่,สัมภาษณ์พิเศษ เกษตรกรตัวเล็ก ผู้ผลิตพืชอาหารปลอดภัย สู่อนาคตที่ยั่งยืน คน ดิน น้ำป่า อีกด้วย.

เชียงใหม่ ท่องเที่ยวและกีฬาเชียงใหม่ เนรมิตเวทีแฟชั่นชาติพันธุ์ครั้งยิ่งใหญ่ใจกลางเชียงใหม่ เชื่อม Soft Power สู่เศรษฐกิจฐานราก(คลิป)

ท่องเที่ยวและกีฬาเชียงใหม่ เตรียมจัดงาน “ชาติพันธุ์แฟชั่นวีค” ภายใต้ธีม “ชาติพันธุ์ สีสันที่ถักทอ” ผลักดันการท่องเที่ยววัฒนธรรมล้านนาอย่างยั่งยืน พร้อมเนรมิตเวทีแฟชั่นชาติพันธุ์ครั้งยิ่งใหญ่ใจกลางเชียงใหม่ เชื่อม Soft Power สู่เศรษฐกิจฐานราก

ที่ลานหน้าลิฟท์แก้ว ชั้น 3 ศูนย์การค้าเมญ่า ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ จังหวัดเชียงใหม่ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด เชียงใหม่ สมาคมการท่องเที่ยวโดยชุมชนภาคเหนือ และศูนย์การค้าเมญ่า ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ จัด กิจกรรม “ชาติพันธุ์แฟชั่นวีค: ชาติพันธุ์ สีสันที่ถักทอ” ภายใต้โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวชาติพันธุ์ สีสันแห่ง ล้านนาอย่างยั่งยืน ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ผ่านแฟชั่นร่วม สมัย เชื่อมโยงศิลปวัฒนธรรมเข้ากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเปิดเวทีให้ชุมชนชาติพันธุ์ได้เป็นเจ้าของพื้นที่ทาง วัฒนธรรมอย่างแท้จริง

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า “กระทรวงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมวัฒนธรรมชาติพันธุ์ในฐานะ Soft Power ที่มีศักยภาพสูง การจัด กิจกรรมในครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนความงามของวัฒนธรรมผ่านแฟชั่น แต่ยังเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับชุมชน และ สร้างรายได้ในระดับฐานรากอย่างยั่งยืน เราจะเดินหน้าสนับสนุนกิจกรรมในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง วัฒนธรรมชาติพันธุ์เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคต”

ด้าน นายอิทธิรัฐ สินารักษ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด เชียงใหม่ กล่าวว่า “กิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันที่ถักทอ” ใช้รูปแบบแฟชั่นโชว์ร่วมสมัยที่สะท้อนอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ ทั้งยังมีกิจกรรม เสริม เช่น นิทรรศการภาพถ่าย เวิร์กชอปศิลปะ การแสดงดนตรีพื้นบ้าน และบูธจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากชุมชนกว่า 20 แห่ง เพื่อสร้างพื้นที่ให้ชุมชนชาติพันธุ์ได้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ พร้อมทั้งต่อยอดการเรียนรู้ข้าม วัฒนธรรม และการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เชิงวัฒนธรรมในอนาคต”

นาวศรายุทธ ทองร่มโพธิ์ ผู้จัดการทั่วไปผู้บริหารศูนย์การค้าเมญ่า กล่าวว่า “เมญ่าภูมิใจที่ได้เป็นเวทีสำคัญของการแสดงออกทางวัฒนธรรม เราเชื่อว่าการสนับสนุนวัฒนธรรมชาติพันธุ์คือ การสนับสนุนรากฐานของสังคมและเศรษฐกิจในท้องถิ่น เมญ่าพร้อมเปิดพื้นที่ให้กับกิจกรรมที่ส่งเสริมคุณค่า ทางวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่องในอนาคต”

ขณะที่ นายสมศักดิ์ อินทะชัย นายกสมาคมการท่องเที่ยวโดย ชุมชนภาคเหนือ กล่าวเพิ่มเติมว่า “พวกเรามุ่งมั่นผลักดันให้ชุมชนมีบทบาทนำในกิจกรรมท่องเที่ยว โดยเน้นการอนุรักษ์วัฒนธรรมชาติพันธุ์ พร้อมไปกับการสร้างรายได้ในรูปแบบที่ชุมชนเป็นเจ้าของกิจกรรมเอง เราหวังว่างานนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการ พัฒนาท่องเที่ยวชาติพันธุ์อย่างมีคุณภาพและยั่งยืนในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา”

โดยเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าร่วม ฟรี ตลอด 3 วันการจัดงานระหว่างวันที่ 20 – 22 มิถุนายน 2568 นี้ ณ ลานกิจกรรมศูนย์การค้าเมญ่า ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ จังหวัดเชียงใหม่ พบกับศิลปะชาติพันธุ์ในจังหวัดต่างๆ ของภาคเหนือ กิจกรรมหลากหลายทางชาติพันธุ์ การโชว์เสื้อผ้าของชาติพันธุ์ เครื่องเงิน ของกินของใช้ และอื่น ๆ โดยมีชุมชนชาติพันธุ์เข้าร่วมกว่า 30 บูธ พร้อมกิจกรรมต่างๆ ภายในงานครั้งนี้ตลอดทั้ง 3 วัน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ ถนนโชตนาตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 50300 โทรศัพท์: 0-5311-2325-6

เชียงใหม่ ข่วงประตูท่าแพ นักท่องเที่ยวจีน ต้องมาถ่ายภาพ กับฝูงนกพิราบ สร้างรายได้ ให้กับกลุ่มช่างภาพอิสระ(คลิป)

ข่วงประตูท่าแพ กลางเมืองเชียงใหม่ ยังเป็นจุดแลนด์มาร์ค ของนักท่องเที่ยวจีน ต้องมาถ่ายภาพ กับฝูงนกพิราบ สร้างรายได้ ให้กับกลุ่มช่างภาพอิสระ เป็นอย่างมาก จากการขายอาหารนกพิราบ และรับจ้างถ่ายภาพที่สวยงาม ให้กับนักท่องเที่ยวจีน รายได้แต่ละวัน ไม่ธรรมดา มีทั้งรับเป็นเงินสด และสแกนจ่าย


ที่บริเวณข่วงประตูท่าแพ แลนด์มาร์ค กลางเมืองเชียงใหม่ ยังคึกคักไปด้วย นักท่องเที่ยวจีน ที่พากันมาถ่ายภาพ กับฝูงนกพิราบ ที่มีเป็นจำนวนมาก ทำให้กลุ่มช่างภาพอิสระ ที่มารับจ้างถ่ายภาพ และขายอาหารนกพิราบ มีรายได้เป็นกรอบเป็นกำ ในแต่ละวัน แทบจะไม่ได้พัก ในการรับจ้างถ่ายภาพ มีนักท่องเที่ยว มาต่อคิวตลอด เพื่อให้ถ่ายภาพ กับฝูงนกพิราบที่ลงมากินอาหารที่พื้น และใช้อุปกรณ์ที่หาได้ทั่วไป ทำให้นกพิราบตกใจและบิน เป็นวินาที ที่ช่างภาพใช้เป็นจุดขาย ในการถ่ายภาพให้กับนักท่องเที่ยว จีน จนโด่งดังไปทั่วเอเชีย

เมื่อได้ภาพก็จะนำไปโพต์ส อวดกับเพื่อนๆ ในโลกโซเซียส ทำให้เป็นจุดขาย ที่นักท่องเที่ยวจีน มาเที่ยวเชียงใหม่ เพื่อมาถ่ายภาพ กับประตูเมืองโบราณ และฝูงนกพิราบหลายร้อยตัว จนสร้างรายได้ ให้กับกลุ่มช่างภาพอิสระ ที่มาปักหลัก ขายอาหารนก และรับจ้างถ่ายภาพ กันตั้งแต่เช้า ยันถึงหัวค่ำ ในการรับจ้างถ่ายภาพ ให้กับนักท่องเที่ยวจีน ระยะหลังมีฝรั่ง เริ่มมาถ่ายภาพด้วย เมื่อถ่ายเสร็จก็จะให้นักท่องเที่ยวดู หากไม่ถูกใจก็จะถ่ายใหม่ ตามที่นักท่องเที่ยวต้องการ สร้างรายได้ เป็นกรอบเป็นกำ รับทั้งเงินสด และสแกนจ่าย ถ้าขยันมีรายได้ละวัน 2000 – 3000 บาท ต่อคน กลายเป็นอีก 1 อาชีพ ที่รายได้ไม่ธรรมดา สามารถเลี้ยงครอบครัวได้

เชียงใหม่ โมเดลลิ่งเชียงใหม่ ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ จัดประกวด บ่าวจี๋-สาวจี๋ แต่งกาย ชุดแฟนซี ตามอัตลักษณ์และวัฒนธรรมประเพณี (คลิป)

โมเดลลิ่งเชียงใหม่ ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ จัดประกวด บ่าวจี๋-สาวจี๋ แต่งกาย ชุดแฟนซี ตามอัตลักษณ์และวัฒนธรรมประเพณี มีตัวแทน หนุ่มสาวจาก 25 อำเภอ เข้าร่วมประกวด เพื่อส่งเสริมให้เยาวชน ได้มีกิจกรรมการแสดงออกถึง อัตลักษณ์และผลิตภัณฑ์เด่น อำเภอของตนเอง เสนอจุดขายแต่ละอำเภอ ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวมากขึ้น เป็นซอฟพาวเวอร์ ของแต่ละอำเภอ

ที่ห้องประชุม เวียงเจ็ดลิน สวนสัตว์เชียงใหม่ แคทวอล์คโมเดลลิ่ง เชียงใหม่ ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ จัดงานประกวด บ่าวจี๋-สาวจี๋ โดยมีตัวแทนเยาวชน จาก 25 อำเภอแต่งกาย ชุดแฟนซี ตามอัตลักษณ์ หรือวัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิต หรือสิ่งบ่งชี้ ของแต่ละอำเภอ มีทั้งประเภทสวยงาม และประเภทความคิดสร้างสรรค์ มาเดินบนเวที เพื่อให้คณะกรรมการ คัดเลือกตัดสิน ว่า บ่าวจี๋- หรือสาวจี๋ ที่เข้าประกวด อายุระหว่าง 17 – 22 ปี ตัวแทนแต่ละอำเภอ จะคว้าการแต่งกาย ประเภทสวยงาม และประเภท ความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งขวัญใจมหาชน จากการให้พวงมาลัยและดอกกุกลาบ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีเอกลักษณ์ ที่แตกต่างกับไป สวยงามกันคนละแบบ และยิ่งใหญ่อลังการณ์ โดยให้ทั้งหมด มีการแนะนำตัว และอธิบายความหมาย ชุดที่แต่ง ซึ่งก็จะมีการผสมผสาน ลวดลายของผ้า ที่หลากหลายชนเผ่า รวมทั้งนำของดีแต่ละอำเภอ มาแสดงออก ในการแต่งกาย


ผลการตัดสินของคณะกรรมการ ให้ตัวแทนบ่าวจี๋ จากอำเภอแม่แจ่ม แต่งกายในชุด เสน่ห์สินถิ่นแม่แจ่ม ได้รับแรงบันดาลใจจากคนแม่แจ่ม มีหลากหลายเชื้อชาติและชนเผ่า และการฟ้อนรำนกกิงกะหร่า ผ้าไหมทอมือ ผ้าซิ่นตีนจก และผ้าจากชาติพันธุ์ต่างๆ จนออกมาเป็นชุดที่สวยงาม ชนะที่ 1 และสาวจี๋จากอำเภอดอยหล่อ แต่งกายในชุดนกยุงสีเขียวที่งามสง่า ลายผ้าเป็นลวดลายชนเผ่าต่างๆ ชนะที่ 1 ประเภทสวยงาม และบ่าวจี๋จากอำเภอสารภี ที่แต่งกาย เป็นชุดต้นยางนา สัญลักษณ์ของอำเภอสารภี และสาวจี๋ จากอำเภอเมือง แต่งกายในชุดกุหลาบสีชมพู ชนะที่ 1 ประเภทความคิดสร้างสรรค์ และคะแนนขวัญใจมหาชน จากการได้รับดอกกุหลาบ และพวงมาลัย บ่าวจี๋ จากอำเภอพร้าว ที่แต่งกายด้วยผ้าและเครื่องประดับชนเผ่า และสาวจี๋อำเภอเมืองเชียงใหม่ ที่แต่งชุดดอกกุหลาบเวียงพิงค์ บ่งบอกถึงความสวย ความหวานของสาวเวียงพิงค์ ได้รับรางวัลขวัญใจมหาชน


ส่วนผลการตัดสิน บ่าวจี๋ประจำปี 2568 หมายเลข BJ08 ตัวแทนจากอำเภอฝาง แต่งกายในชุด ปริ้นส์ ออฟ แม่คะ ที่ชาวลาวอาศัย โดยนำเสื้อผ้าการแต่งกายของชาวลาวผสมผสานลายผ้าของล้านนา เป็นผู้ชนะเลิศ ส่วนสาวจี๋ ประจำปี 2568 ตัวแทนจากอำเภอสันกำแพง หมายเลข SJ 19 แต่งกายในชุดไทย ที่จำลองมาจาก ชุดที่ คุณอาภัสรา หงสกุล นางงามจักรวาลคนแรกของไทย สวมชุดไทยผ้าซิ่นสันกำแพง กางจ้องร่มบ่อสร้าง เพื่อให้ชาวต่างชาติได้รับรู้ถึงรากเหง้าของชุมชน ชนะเลิศประจำปี 2568


การจัดงานเพื่อส่งเสริมให้เยาวชน ได้มีกิจกรรมการแสดงออกถึง อัตลักษณ์ และผลิตภัณฑ์เด่น อำเภอของตนเอง หรือซอฟพาวเวอร์ เสนอจุดขาย อำเภอของตนเอง ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวมากขึ้น

เชียงใหม่ จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยเกษตรจังหวัดอุตรดิตถ์ จัดงาน มหกรรมสินค้าองค์กรเกษตรกร ที่จังหวัดเชียงใหม่ (คลิป)

จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยเกษตรจังหวัดอุตรดิตถ์ จัดงาน มหกรรมสินค้าองค์กรเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และตลาดเกษตรกร จังหวัดอุตรดิตถ์ ประจำปี 2568” สนุกสนานกับการแข่งขันกินทุเรียน

วันนี้(6 มิ.ย.68) ที่ลานมีโชคพลาซ่า จังหวัดเชียงใหม่ นายศิริวัฒน์  บุปผาเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ และนายเอนก  ชื่นอารมณ์ เกษตรจังหวัดอุตรดิตถ์ ร่วมเปิดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มช่องทางรายได้ให้แก่เกษตรกร ในงาน “มหกรรมสินค้าองค์กรเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และตลาดเกษตรกร จังหวัดอุตรดิตถ์ ประจำปี 2568”

นายศิริวัฒน์  บุปผาเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวว่า การจัดงานมหกรรมในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุน จากชาวอุตรดิตถ์ทุกภาคส่วน  และได้มีคัดสรรสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย  โดยมีเป้าหมาย เพื่อประชาสัมพันธ์และเพิ่มช่องทางการตลาด ให้แก่กลุ่มเกษตรกร สร้างรายได้  ให้แก่พี่น้องเกษตรกรชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเผยแพร่ชื่อเสียงของจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่เป็น  “เมืองมหัศจรรย์แห่งผลไม้” จังหวัดอุตรดิตถ์ มีผลไม้หลากหลายชนิด อาทิเช่น ลางสาด ลองกอง ทุเรียนหลงลับแล ทุเรียนหลินลับแล สับปะรดห้วยมุ่น และมะขามหวาน รวมถึงผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่มีความเป็นอัตลักษณ์ และเป็นเสน่ห์ ของเมืองอุตรดิตถ์ ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งล้วนแล้วเกิดจากการเสียสละ ทุ่มเทร่วมมือกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง และเป็นผลดี  ทั้งด้านการเกษตร ด้านการท่องเที่ยว ด้านเศรษฐกิจ ด้านวัฒนธรรมประเพณี ที่เชื่อมโยงกัน สร้างรายได้ให้กับเกษตรกร และประชาชนชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน  ในรูปแบบประชารัฐตามนโยบายของรัฐบาล

ด้านนายเอนก  ชื่นอารมณ์ เกษตรจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวว่า งาน “มหกรรมสินค้าองค์กรเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และตลาดเกษตรกร จังหวัดอุตรดิตถ์ ประจำปี 2568” การจัดงานมหกรรมสินค้า ฯ ของจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นงานมหกรรมสินค้าที่นำผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง สินค้าที่ได้รับตราสัญลักษณ์สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ได้แก่ ทุเรียนหลงลับแล หลินลับแล และสับปะรดห้วยมุ่น รวมถึงสินค้าและผลิตภัณฑ์เด่นและเป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้แก่ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ มะขามหวาน ข้าวคุณภาพ ข้าวพันผัก ข้าวแคบ เหล็กน้ำพี้ ผลิตภัณฑ์ผ้าทอ และสินค้าเกษตรแปรรูปอีกมากมาย ซึ่งเป็นการนำเอาสินค้าดีเด่นจากทุกอำเภอมาจัดแสดง และจำหน่ายภายในงาน โดยมีเป้าหมายผู้จำหน่ายสินค้าจากจังหวัดอุตรดิตถ์  จำนวน 30 ราย ร่วมจำหน่ายสินค้าในงาน และกำหนดจัดขึ้นใน ระหว่างวันที่ 4 – 8 มิถุนายน 2568 ณ ลานมีโชคพลาซ่า ตำบลฟ้าฮ่าม อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ รวมเป็นระยะเวลา 5 วัน

อย่างไรก็ดีในงานมีการจัดการแข่งขันกินทุเรียน โดยผู้ที่สนใจมาร่วมแข่งขันจำนวน 6 ท่าน โดยให้กินทุเรียนที่แกะแล้วคนละครึ่งกิโลกรัม ใครกินหมดก่อนเป็นผู้ชนะได้รางวัลเป็นทุเรียนหลงลับแลไป 1 ลูก ซึ่งก็สร้างความสนุกสนานให้กับผู้ที่มาร่วมงาน

เชียงใหม่ มูลนิธิเด็กกำพร้าบ้านกิ่งแก้ว มอบทุนการศึกษาสำหรับเด็กกำพร้ากำพร้าในสถานสงเคราะห์ และชุมชน ประจำปี 2568 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 10 (คลิป)

มูลนิธิเด็กกำพร้าบ้านกิ่งแก้ว มอบทุนการศึกษาสำหรับเด็กกำพร้ากำพร้าในสถานสงเคราะห์ และชุมชน ประจำปี 2568 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 10

วันนี้(3 มิ.ย.68) ที่ห้องประชุมใหญ่ อาคารสงวน – แจ่มจันทร์ วิบุลสันติ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ มูลนิธิเด็กกำพร้าบ้านกิ่งแก้ว มอบทุนการศึกษาสำหรับเด็กกำพร้ากำพร้าในสถานสงเคราะห์ และชุมชน ประจำปี 2568 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 10 ชมการแสดงของเด็กๆ กำพร้าบ้านกิ่งแก้ว จากนั้น ดร.เพญพรรณ วังวิวัฒน์ รองประธานมูลนิธิเด็กกำพร้าบ้านกิ่งแก้ววิบูลสันติ พร้อมผู้ที่มาร่วมงานได้ร่วมร้องเพลง สรรเสริญพระบารมี

การจัดกิจกรรมโครงการมอบทุนการศึกษาสำหรับเด็กกำพร้าในสถานสงเคราะห์และชุมชน โครงการพัฒนาส่งเสริมอาชีพสำหรับเด็กกำพร้าโดยประสานกับผู้ปกครองเด็กบ้านเวียงพิงค์ ในการคัดกรองเด็กในการรับทุนครั้งนี้ แยกเป็น
1. ระดับประถมศึกษา จำนวน 20 ทุนๆ ละ 1,500 บาท
2. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น – มัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 10 ทุนๆ ละ 2,000 บาท
3. ระดับอาชีวศึกษา ปวช. – ปวส. หรือมหาวิทยาลัย จำนวน 4 ทุนๆ ละ 3,000 บาท
4. โครงการพัฒนาส่งเสริมการฝึกอาชีพสำหรับเด็กกำพร้า 1 โครงการกิจกรรมย่อย 5 กิจกรรม แยกเป็น กิจกรรมเสริมสวย กิจกรรมทำขนมกิจกรรมงานผ้า กิจกรรมร้านกาแฟ และกิจกรรมการเกษตร กิจกรรมละ5,000 บาท

ทั้งนี้มูลนิธิเด็กกำพร้าบ้านกิ่งแก้ว วิบลสันติ เชียงใหม่ ตระหนักดีถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กกำพร้าให้ได้รับการศึกษาที่ดี ตลอดจนการอบรมบ่มนิสัยให้เป็นคนดีของสังคมและพร้อมที่จะก้าวเดิมไปกับอนาคตที่ดีในโอกาสต่อไป

สำหรับบ้านกิ่งแก้วฯนับเป็นบ้านเด็กกำพร้าแห่งแรกของจังหวัดเชียงใหม่ ดำเนินการก่อตั้งโดย คณะกรรมการ เนื่องจากในปี 2507 นายแพทย์ระเบียบ ฤกษ์เกษม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนดอก(ปัจจุบันคือโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่) ได้พบว่าทางโรงพยาบาลต้องรับเลี้ยงดูเด็กที่ถูกทอดทิ้งในโรงพยบาลเป็นจำนวนมากเด็กเหล่านี้มิได้เจ็บป่วย ตามความเป็นอยู่ควรจะมีที่อยู่แยกออกไป ไม่ควรอยู่ร่วมกับเด็กที่ป่วยเป็นโรคอื่นๆ และเด็กเหล่านั้นควรจะอยู่ในสถานที่ๆ มีสภาพแวดล้อมเป็นบ้าน ไม่ใช่โรงพยาบาล ต่อมานายแพทย์ระเบียบได้รับแจ้งจากคุณกิ่งแก้ว วิบุลสันติ ว่าท่านยินดีมอบที่ดิน 2 ไร่ บ้านไม้สัก 1 หลัง พร้อมเงินสดจำนวน 300,000 บาท ในปี พ.ศ.2509 ซึ่งจดทะเบียนเป็นมูลนิธิเด็กกำพร้าอนาถานนครเชียงใหม่ หลังจากที่คุณกิ่งแล้วได้มอบบ้าน โอนโฉนดที่ดินให้แล้วจึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นมูลนิธิเด็กกำพร้าบ้านกิ่งแก้ว วิบุลสันติ เชียงใหม่ เพื่อเป็นเกียรติเจ้าของทุน

เชียงใหม่ แม่บ้านสาวเชียงใหม่ เปิดยูทูปหัดทำ โจ๊กและต้มเกาเหลาเลือดหมู จนกลายมาเป็นแม่ค้า ขายริมถนนตรงข้าม กองพันพัฒนาที่ 3 ถนนโชตนา ขาเข้าตัวเมืองเชียงใหม่(คลิป)

“หิวก็แวะมา” แม่บ้านสาวเชียงใหม่ เปิดยูทูปหัดทำ โจ๊กและต้มเกาเหลาเลือดหมู จนกลายมาเป็นแม่ค้า ขายริมถนนตรงข้าม กองพันพัฒนาที่ 3 ถนนโชตนา ขาเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ ขายหมดทุกวัน เชิญแวะซิมฝีมือ ความอร่อย 30 บาท ก็อิ่มท้อง

นางพิมพ์ชนก บุญปลูก แม่บ้านเรียนวิธีการทำโจ๊กหมู และข้าวตมหมู ข้าวต้มปลา และต้มเลือดหมู จากยูทูป ทดลองทำ พัฒนาฝีมือจนรดชาด พอดีกับความอร่อย ลองให้หลายคนชิมฝีมือ จากนั้นเปิดร้านขาย ชื่อ อากู่ อยู่ฝั่งตรงข้าม กับกองพันพัฒนาที่ 3 ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม ขาเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ ทำให้มีลูกค้าแวะเวียน จอดรถซื้อ มีทั้งโจ๊กหมู เครื่องในหมู ข้าวต้มปลา เกาเหลาเลือดหมู ลูกค้าส่วนใหญ่ ก็จะมีทั้งผู้ปกครอง วัยทำงาน ข้าราชการ พยาบาล ซื้อไปรับประทาน หรือนั่งรับประทานที่ร้านก็ได้ หรือจะใส่ถ้วยพาสติก นั่งรับประทานในรถ สำหรับเด็กๆ ระหว่างเดินทาง ไปเรียนก็สะดวก

แม่ค้าบอกว่า ต้องตื่นแต่เช้ามืด จัดเตรียม เครื่องปรุงอาหารมาจากบ้าน ทำใหม่สดทุกวัน เริ่มขายประมาณ 6.30 น. ประมาณ 10 โมง หรือประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง ก็ขายหมด แต่ละวันใช้ข้าวหอมมะลิ อย่างดี ประมาณ 3 กิโลกรัม และหมูบด และเครื่องในหมู ประมาณ 2 กิโลกรัม มาเสริฟ์ความอร่อย ราคาก็แสนถูก และอิ่ม ใส่ถ้วยน่ารับประทาน หอมกลิ่นเครื่องปรุง โจ๊กหมูธรรมดา ราคา 30 บาท หากเพิ่มไข่ลวก คิดเพิ่มฟองละ 5 บาท โจ๊กเครื่องใน 40 บาท และเกาเหลาเลือดหมู 50 บาท ข้าวเปล่า 10 บาท พร้อมทั้งเชิญชวน ลูกค้าทุกคน ลองแวะมาอุดหนุน ได้ทุกวัน หรือเช้าๆหิวก็แวะมา

เชียงใหม่​ พาชิมไส้อั่วเห็ดถอบในอำเภอสารภี ขายดี ทำแทบไม่ทันลูกค้าสั่งกันมาเยอะ(คลิป)

พาชิมไส้อั่วเห็ดถอบในอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม อร่อย ขายดี ทำแทบไม่ทันลูกค้าสั่งเยอะ

พามาที่ร้านลาบลุงอิ่น ริมถนนเลียบทางรถไฟ บ้านสารภี หมู่ที่ 2 ตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ได้ทำไส้อั่วเห็ดถอบ หรือเห็ดเผาะขายซึ่งฤดูนี้เป็นฤดูฝนเห็ดถอบออกเยอะกว่าปีที่ผ่านมา และมีออเดอร์ จากลูกค้าสั่งทุกปี เพราะชื่นชอบในรสชาติของไส้อั่วอยู่แล้วพอใส่เห็ดถอบเข้าไปผสมก็ทำให้อร่อยยิ่งขึ้น

โดยในแต่ละวันจะทำไส้อั่วเห็ดถอบ จำนวน 6 กิโลกรัม ใช้เห็ดถอบ จำนวน 2 กิโลกรัม ช่วงนี้เห็ดถอบออกเยอะราคาเห็ดถอบกิโลกรัมละ 240 บาท เป็นเห็ดถอบจากดอยอำเภอแม่วาง มีรสชาติหอมกลิ่นไอดินเปลือกบาง กรุบกรอบอร่อย เมื่อนำไส้อั่วที่ยัดใส้เสร็จแล้วเอาไปย่างไฟ กิโลกรัมละ 500 บาท ขีดละ 50 บาท เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้านเป็นอย่างมาก

สำหรับส่วนผสมไส้อั่วเห็ดถอบ มีตระไคร้ หอมแดง หอมกระเทียม ขมิ้น เกลือ กะปิ พริกแห้ง ใบมะกรูด ต้นหอมผักชี ผักชีใบเลื่อย นำมาตำหรือนำไปปั่น แล้วนำผสม ผงนัว ผงปรุงรส ซีอิ้ว นำเห็ดถอบที่หั่นบางๆลงไปคลุกเคล้าจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดีแล้วก็นำไปยัดใส้หมู แล้วนำไปย่างไฟประมาณ 30 นาที จึงออกมาเป็นไส้อั่วเห็ดถอบนำไปรับประทานกับข้าวเหนียว ข้าวสวย อร่อยมาก โดยเปิดขายตั้งแต่เวลา 16.00 น.เป็นต้นไป ซึ่งทางร้านจะขายไส้อั่วเห็ดถอบจนหมดฤดูของเห็ดถอบ ส่วนผู้ที่สนใจอยากชิมหรือสั่งซื้อไส้อั่วเห็ดถอบ สามารถสอบถามลุงอิ่นได้ที่เบอร์​ 065-6098558

เชียงใหม่ ฝ่ายกีฬากอล์ฟจังหวัดเชียงใหม่ แถลงข่าวเปิดตัวคณะกรรมการบริหารฯ ชุดใหม่ ชูวิสัยทัศน์และนโยบายเร่งด่วน (คลิป)

ฝ่ายกีฬากอล์ฟจังหวัดเชียงใหม่เปิด แถลงข่าวเปิดตัวคณะกรรมการบริหารฯ ชุดใหม่ ชูวิสัยทัศน์และนโยบายเร่งด่วน

วันนี้(30 พค.68) เวลา 10.00 น. ที่ห้องบอลรูม สนามกัซซัน พาโนราม่า กอล์ฟ คลับ อ.เมือง จ.ลำพูน สมาคมกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ นายสหทัศ เที่ยงศรี ประธานฝ่ายกีฬากอล์ฟจ.เชียงใหม่ พร้อมคณะกรรมการบริหาร และกรรมการ ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวคณะกรรมการบริหารฯ ชุดใหม่ 13 ท่าน ได้แก่นายสหทัศ เที่ยงศรี ดำรงค์ตำแหน่ง ประธานฝ่ายกีฬากอล์ฟจังหวัดเชียงใหม่ นายทวีวัฒน์ เดชโพธิยานนท์ เป็นรองประธานฯ และนายบัญชา กิตติรังสี, นายอัคคพล ตั้งสุทธิธรรม, นายสาธิต เริงโพธิ์, นายชยกฤต ม้าลำพอง, นายสุธี วงศาโรจน์, นายอุกกฤษฏ์ พงษ์ประพนธ์, นายกมล สุระยศ, นายนิรุตติ์ แสนไชย, นายนที เนตรนิยม, นายธนวัฒน์ มโนจิตร เป็นกรรมการฯ และนางพิมภากร เที่ยงศรี เป็นเลขานุการฯ (และกำลังประสานคณะกรรมการอีกหลายๆอยู่ในขณะนี้)โดยคณะกรรมการชุดนี้ จะมีวาระในการปฏิบัติหน้าที่ 4 ปี

ในการแถลงข่าวเปิดตัวคณะผู้บริหารฝ่ายกีฬากอล์ฟจังหวัดเชียงใหม่ในครั้งนี้ นายศักดิ์พล ยอดบางเตย อุปนายกสมาคมกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ผศ.ชัยพร แก้ววิวัฒน์ เลขาธิการฯ เดินทางมาให้กำลังใจด้วย พร้อมด้วยน้องธรกัญ เที่ยงศรี “เอิร์น” นักกีฬากอล์ฟ รายการ Putra Cup ถ้วย Kartini (ถ้วยฟิลิปปินส์) ชนะประเภททีม ปี 2023 ที่ประเทศมาเลเซีย และ เป็นนักกอล์ฟเยาวชนทีมชาติไทย ปี 2503 – 2504 และชนะรายการ Taiwan Junior Open 2024 ที่ประเทศไต้หวัน (ชนะประเภทเดี่ยว) และได้รับทุนไปเรียนและตัวมหาลัยกอล์ฟ ของ University of Oklahoma ในปี 2025 ร่วมแสดงความยินดีในครั้งนี้ด้วย

นายสหทัศ เที่ยงศรี ประธานฝ่ายกีฬากอล์ฟจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า คณะกรรมการบริหารฝ่ายกีฬากอล์ฟจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งเป้าในการพัฒนาและยกระดับนักกีฬากอล์ฟเยาวชนของจังหวัดเชียงใหม่ ให้เข้าสู่ระดับประเทศและนานาชาติ ส่งเสริมนักกีฬากอล์ฟระดับประชาชน และอาวุโส เข้าร่วมการแข่งขันในระดับต่างๆ โดยจะมุ่งเน้นเรื่องความโปร่งใส ยุติธรรม มีหลักการและขั้นตอนในการคัดเลือกนักกีฬาที่ชัดเจน เริ่มเปิดรับสมัครรักกีฬากอล์ฟทันที จากที่มีอยู่แล้วประมาณ 100 คน คาดว่าปีนี้จะได้นักกีฬากอล์ฟทุกเพศทุกวัย น่าจะเกิน 100 คน

“เราพร้อมจะผลักดันให้นักกีฬามีสนามฝึกซ้อม ล่าสุด สนามกอล์ฟ M SPORY GOLF ACADEMY ทุกสาขา และ สนามอล์ฟ กัซซัน ทุกสาขา กำลังพิจารณาให้นักกีฬากอล์ฟ ที่เป็นตัวแทนของจังหวัดเข้าใช้สนามในการฝึกซ้อม ได้รับการยืนยันจะให้ความช่วยเหลือตามความเหมาะสม ซึ่งผู้บริหารสนามกอล์ฟ กำลังพิจารณาอยู่”

ประธานฝ่ายกีฬากอล์ฟ จ.เชียงใหม่ กล่าวอีกว่า จะส่งเสริมให้มีผู้ตัดสินกีฬากอล์ฟ โดยฝ่ายกอล์ฟฯ จะสนับสนุนให้ที่มงานของฝ่ายฯ แนะแนวทางสำหรับบุคคลที่สนใจจะสอบใบผู้ตัดสินกีฬากอล์ฟของสมาคมกอล์ฟประเทศไทย และหารายได้เพื่อเป็นทุนสนับสนุน และพัฒนาทีมนักกอล์ฟของจังหวัด เช่น การขอสปอนเซอร์ การจัดกอล์ฟการกุศล เบื้องต้นกำหนดจัดแข่งขันกอล์ฟการกุศลหารายได้ให้ฝ่ายบริหารกอล์ฟเชียงใหม่ จัดวันที่ 26 ก.ค.68 สนามสนามกอล์ฟ กัซซัน ขุนตาน กอล์ฟ แอนด์ รีสอร์ท จ.ลำพูน (กำหนดการจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง) จะมีการจำหน่ายของที่ระลึก ประชาสัมพันธ์ และรณรงค์ให้นักกีฬาในทุกระดับสมัครเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นนักกีฬาของจังหวัดเชียงใหม่” นายสหทัศ เที่ยงศรี ประธานฝ่ายกีฬากอล์ฟ จ.เชียงใหม่ กล่าว.