เชียงใหม่ ศูนย์​ดำรง​ธรรม​แม่ริม ลงพื้นที่ตรวจ 3 หาดทรายริมน้ำปิง ต.เหมืองแก้ว สั่งรื้อถอนร้านค้ารุกที่สาธารณะ​ (คลิป)

ศูนย์​ดำรง​ธรรมอำเภอ​แม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ลงพื้นที่ตรวจ 3 หาดทรายริมน้ำปิง ในพื้นที่ตำบลเหมืองแก้ว สั่งรื้อถอนร้านค้ารุกที่สาธารณะ​

วันนี้( 21 มี.ค.) ที่โม้งทรายบิช บ้านดอนตัน หมู่ 4 ต.เหมืองแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ นายประเสริฐศักดิ์
บุตรสา ปลัดอาวุโส อ.แม่ริม ฝ่ายความ มั่นคง พร้อม น.ส.ฉัตรพรรณกร สุวรรณะ ปลัด อ.แม่ริม ที่ดูแลศูนย์ดำรงธรรม นายธีรวัฒน์ ณ ลำพูน ปลัด อ.แม่ริม ฝ่ายปกครอง ได้ลงพื้นที่ตรวจโม้งทรายบิช ตามคำสั่งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด กรณีมีผู้ร้องเรียนการบุกรุกพื้นที่ชายหาด ริมน้ำปิงฝั่งตะวันออก จุดแรก ซึ่งเป็นที่สาธารณะชุมชน และไม่ได้ขออนุญาตทำเป็นร้านอาหารเครื่องดื่ม หรือแผงลอย บริการประชาชน และนักท่องเที่ยว ที่มาเล่นน้ำชายหาดดังกล่าว โดยมีนายทองคำ กันธาแดง นายกเทศมนตรีตำบล (ทต.) เหมืองแก้ว พร้อมเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำนักงานเจ้าท่าที่ 1 เชียงใหม่ สำนักงานสรรพสามิต เขตสรรพสามิต อ.เมือง สำนักงานสาธารณสุข อ.แม่ริม สำนักงานที่ดิน อ.แม่ริม ฝ่ายปกครอง สภ.แม่ริม และผู้ประกอบการกว่า 20 คน โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง

ทั้งนี้ นายประเสริฐศักดิ์ และคณะตรวจสอบดังกล่าว ได้ชี้แจงข้อร้องเรียนและให้คำแนะนำผู้ประกอบการผ่านนายสุชาติ ไชยมูล ตัวแทนผู้ประกอบการโม้งทรายบิช จำนวน 25 ราย ที่ได้รับอนุญาตจากประชาคมหมู่บ้านให้ประกอบกิจการดังกล่าว ทั้งนี้มีผู้ร้องเรียน 3 เรื่อง คือ จำหน่ายแอลกอฮอล์ให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี จำหน่ายแอลกอฮอล์เกินเวลากฏหมายกำหนด และเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตที่เข้าข่ายฝ่าฝืนกฏหมายดังกล่าว รวมถึงเรื่องการใช้เครื่องขยายเสียง ที่เปิดเพลงเสียงดังรบกวนชุมชนใกล้เคียง

นายประเสริฐศักดิ์ กล่าวว่า ขอให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามกรอบระเบียบกฏหมาย และไม่ฝ่าฝืนกฏหมายใดๆ
พร้อมขอความร่วมมือผู้ประกอบการห้ามจำหน่ายแอลกอฮอล์แก่เยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี และไม่จำหน่ายแอลกอฮอล์เกินเวลาที่กฏหมายกำหนด พร้อมขออนุญาตใช้พื้นที่ เพื่อเปิดสถานบริการหรือแผงลอยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องตามกฏหมาย เพื่อใช้เป็นแนวทางหรือบรรทัดฐานการปฏิบัติ หรือจัดระเบียบชายหาดหรือที่สาธารณะ ในปีหน้า

นอกจากนี้ให้ผู้ประกอบการรื้อถอนร้านค้า หรือแผงลอย ที่รุกล้ำชายหาดสาธารณะ จำนวน 4 ราย ตามคำสั่งสำนักงานเจ้าท่าที่ 1 เชียงใหม่ พร้อมขอความร่วมมือการป้องกันอาชญากรรม อาทิ การทะเลาะวิวาท ลามกอนาจาร ค้าประเวณี ยาเสพติด และการใช้เครื่องเสียง ที่อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญชุมชนที่อยู่ใกล้เคียง โดยให้ฝ่ายตำรวจและปกครอง ช่วยตรวจตราดูแลความสงบเรียบร้อยอย่างใกล้ชิด

ต่อมานายประเสริฐศักดิ์ พร้อมคณะได้ลงพื้นที่ตรวจ บริเวณหาดทรายเหมืองแก้ว บ้านน้ำต้น หมู่ 1 ซึ่งเป็น
จุดที่ 2 เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ จำนวน 29 ราย มีนายชนพัฒน์ รักกะเปา ตัวแทนผู้ประกอบการ เข้าร่วมรับฟังชี้แจงดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่ได้มีคำสั่งให้รื้อถอนร้านค้า หรือแผงลอยทั้งหมด ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยกำหนดระยะเวลารื้อถอนภายใน 30 วัน แต่ผู้ประกอบการสามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่ง ภายใน 15 วันได้ ทั้งนี้สำนักงานเจ้าท่าที่ 1 เชียงใหม่ ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ สภ.แม่ริม วันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมาแล้ว

หลังจากนั้นนายประเสริฐศักดิ์ และคณะ ได้ลงพื้นที่บริเวณหาดวังดินเพชรริมปิง บ้านวังดิน หมู่ 9 จุดที่ 3 ซึ่งเป็นพื้นที่เอกชน ติดริมน้ำปิง มีนายนิมิตร ขยัน กำนัน ต.เหมืองแก้ว ผู้ได้รับอนุญาตจากประชาคมหมู่บ้าน และเป็นตัวแทนผู้ประกอบการ จำนวน 15 ราย ให้ดำเนินการบริการนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนและเล่นน้ำชายหาดดังกล่าว ร่วมรับฟังคำชี้แจงจากนายประเสริฐศักดิ์ และคณะ พร้อมขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ปฏิบัติตามระเบียบกฏหมายอย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน

นายนิมิตร กล่าวว่า พร้อมปฏิบัติตามระเบียบกฏหมายดังกล่าว แต่เรียกร้องทางอำเภอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติตามระเบียบกฏหมายอย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน ไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อสร้างความเป็นธรรมทุก
ฝ่าย อย่างเท่าเทียมกัน ไม่โยนไปมาหากเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฏหมายอาจเข้าข่าย ม.157 การละเว้นการ
ปฏิบัติหน้าที่ได้


“ส่วนตัวส่งเสริมสนับสนุนการท่องเที่ยวชุมชน เพื่อสร้างงานและรายได้สู่ท้องถิ่น เป็นการสร้างโอกาสพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชน ซึ่งตอบสนองนโยบายการท่องเที่ยววัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิตชุมชน และภูมิปัญญาท้องถิ่น ในช่วงงานป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง หรือมหาสงกรานต์ ตามซอฟต์เพาเวอร์ของรัฐบาลอีกด้วย” นายนิมิตรกล่าว

เชียงใหม่ ม.แม่โจ้ MOU ร่วมกับ USDA Regional Agriculture Innovation Network (RAIN) ส่งเสริมนวัตกรรมการเกษตร(คลิป)

ม.แม่โจ้ MOU ร่วมกับ USDA Regional Agriculture Innovation Network (RAIN) ส่งเสริมนวัตกรรมการเกษตร รับมือผลกระทบวิกฤตสภาพอากาศ เพื่อยกระดับภาคการเกษตรและเครือข่าย

วันอังคารที่ 19 มีนาคม 2567, เชียงใหม่, ประเทศไทย –มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และองค์การวินร็อค อินเตอร์เนชั่นแนล (Winrock International) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับ USDA Thailand Regional Agriculture Innovation Network (RAIN) ซึ่งเป็นเครือข่ายผลักดันนวัตกรรมด้านการเกษตรในระดับภูมิภาคที่ได้รับการสนับสนุนการเงินจากโครงการ Food for Progress ภายใต้การบริหารของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) มุ่งสร้างความร่วมมือตรวจสอบนวัตกรรมการเกษตรที่มีความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหา และขยายผลส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ในวงกว้าง เพื่อรับมือกับผลกระทบที่มาจากวิกฤตสภาพอากาศ

รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้กล่าวต้อนรับและขอบคุณผู้มาร่วมงาน และคุณลิสา เอ.บูเจนนาส กงสุลใหญ่อเมริกา ประจำจังหวัดเชียงใหม่ ให้เกียรติกล่าวแสดงความยินดีต่อการลงนามบันทึกข้อตกลง โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ สุวรรณรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และคุณ วิลเลี่ยม สปาร์คส์ ผู้อำนวยการโครงการ RAIN เป็นผู้แทนลงนามทั้งสองฝ่าย
ณ ห้องประชุมสภา ชั้น 5 อาคารสำนักงานมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งผู้บริหารจากทั้งสองหน่วยงานร่วมเป็นสักขีพยาน

การลงนามในบันทึกข้อตกลงนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกันของทั้งสองหน่วยงานในการตรวจสอบนวัตกรรมภาคเกษตรกรรมที่ช่วยให้รับมือกับผลกระทบวิกฤตสภาพอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ มีแนวทางของการสร้างความยั่งยืน และการขยายตลาด ตลอดจนขยายผลสนับสนุนให้เกษตรกรไทยใช้นวัตกรรมดังกล่าวในวงกว้าง RAIN จะใช้องค์ความรู้และนวัตกรรมที่โดดเด่นของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เช่นการใช้เครื่องหมายโมเลกุลในการปรับปรุงพันธุ์ข้าว องค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการผลิตลำไย ฟาร์มต้นแบบสวนลำไยอินทรีย์อัจฉริยะ การจัดการฟาร์มอย่างชาญฉลาด และการจัดการระบบเกษตรอินทรีย์เพื่อสุขภาพ ร่วมกันพัฒนาต่อยอดและขยายผลให้เกิดประโยชน์ต่อเครือข่ายนวัตกรรมด้านการเกษตรทั้งในและต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

ตัวอย่างความร่วมมือที่เป็นไปได้ระหว่างสองหน่วยงานภายใต้บันทึกข้อตกลงนี้ได้แก่ การสนับสนุนเกษตรกรให้นำแนวทางปฏิบัติด้านการผลิตแบบออร์แกนิกมาใช้ ผ่านระบบการรับประกันแบบมีส่วนร่วม (PGS) ระบบการรับรองอินทรีย์ เช่น ออร์แกนิกประเทศไทย, USDA ออร์แกนิก และอื่น ๆ รวมถึงทบทวนวิธีปฏิบัติของเกษตรกรที่อยู่ในเครือข่ายของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ในภาคเหนือ และทั่วประเทศ นอกจากนี้ทั้งสองหน่วยงานจะแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การสนับสนุน และผู้เชี่ยวชาญในการร่วมตรวจสอบนวัตกรรมและสนับสนุนการขยายผลในวงกว้าง ตลอดจนพิจารณาความเป็นไปได้ในการสร้างความร่วมมือระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับศูนย์กลางนวัตกรรมระดับภูมิภาค

รองศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ สุวรรณรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า “ความร่วมมือระหว่างม.แม่โจ้และ RAIN จะช่วยยกระดับการเกษตรอินทรีย์ และเกษตรธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการเกษตรที่ยั่งยืน อาหาร อาชีพ และภูมิปัญญา ด้วยการยกระดับองค์ความรู้ทางด้านเกษตรอินทรีย์ และทำให้เกษตรกรนำนวัตกรรมไปใช้งานได้จริงในวงกว้างอีกทั้งยกระดับเกษตรกรให้เป็นผู้ผลิตและเป็นผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ ส่งเสริมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ภาคเหนือ และสร้างเยาวชนเกษตรอินทรียเพื่อสนับสนุนให้พวกเขาอยู่กับชุมชนของตัวเอง”

นาย วิลเลี่ยม สปาร์คส์ ผู้อำนวยการโครงการ RAIN กล่าวว่า “การสร้างเครือข่ายพันธมิตร เพื่อแลกเปลี่ยน นวัตกรรมและความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านเกษตรกรรมเป็นหัวใจสำคัญของการบรรลุเป้าหมายการทำงานของ RAIN ในปีที่ผ่านมาเราได้ริเริ่มความร่วมมือกับหน่วยงานจากภาครัฐและเอกชน และหน่วยงานวิจัยมากกว่า 11 แห่ง ซึ่งช่วยให้เราได้ใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและเครือข่ายของแต่ละหน่วยงาน คัดเลือก และสนับสนุน การใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมสำหรับเกษตรกรไทยอย่างเป็นรูปธรรม การลงนามในบันทึกความเข้าใจกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้เป็นก้าวสำคัญสำหรับการส่งเสริมนวัตกรรมในการเพาะปลูก พืชเศรษฐกิจส่งเสริมที่มีบทบาทต่อความเป็นอยู่ของประชากรในภาคเหนือเช่น ข้าว และลำไย รามถึงเกษตรกรในเครือข่ายของม.แม่โจ้ทั่วประเทศไทย เรามั่นใจต่อศักยภาพของความร่วมมือนี้จากการที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้มีชื่อเสียงยาวนานในด้านองค์ความรู้ ตลอดจนการพัฒนาผู้เชี่ยวชาญ และนักวิจัยในด้านการเกษตร และนวัตกรรมการเกษตร”

โครงการ RAIN ดำเนินการโดยองค์การวินร็อค อินเตอร์เนชั่นแนล ที่คัดเลือก และตรวจสอบนวัตกรรมด้านการเกษตร ตลอดจนสนับสนุนการใช้งานในวงกว้าง ด้วยเป้าหมายส่งเสริมให้เกษตรกรไทย 30,000 ราย ใช้นวัตกรรมรวม 30 รายการ รับมือกับผลกระทบต่อวิกฤตสภาพอากาศ ผ่านการปรับปรุงผลผลิต ลดต้นทุน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และขยาย ตลาดในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใน พ.ศ. 2570

โครงการ RAIN ได้รับเงินสนับสนุนจากโครงการ Food for Progress ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารงานของ กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา และมีเป้าหมายช่วยเหลือประเทศที่กำลังพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและประชาธิปไตยปรับเปลี่ยนภาคเกษตรกรรมให้ทันสมัยและแข็งแกร่งขึ้น โครงการ Food for Progress มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ข้อ ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิผลของภาคเกษตรกรรม และขยายตลาดสินค้าเกษตร อ่านข้อมูลเกี่ยวกับ Food for Progress ได้ที่ https://www.fas.usda.gov/programs/food-progress.

เชียงใหม่ มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย สานโอกาส สร้างรอยยิ้ม ผ่านการมอบทุนการศึกษา ประจำปี 2566

มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย มุ่งมั่นสานต่อพันธกิจเพื่อ “สานโอกาส สร้างรอยยิ้ม” ผ่านกิจกรรมการมอบทุนการศึกษา ประจำปี 2566 แก่นักเรียน นิสิต นักศึกษาใน 4 ภูมิภาค ทั่วประเทศไทย รวมทั้งสิ้นจำนวน 701 ทุน มูลค่ากว่า 11.52 ล้านบาท มุ่งหวังสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่เยาวชนที่เรียนดี และประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ให้ได้รับโอกาสในการเข้าศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น อันจะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป


​มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2535 ตลอดระยะเวลากว่า 32 ปี ได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นในการส่งเสริมสังคมอย่างยั่งยืนผ่าน 3 แนวทาง ดังนี้
• ส่งเสริมการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน ในทุกระดับชั้น ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชา
• พัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็ก เยาวชน และคนพิการ รวมถึงส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
• ส่งเสริมการดำเนินการขององค์กรสาธารณกุศลต่างๆ เพื่อสาธารณประโยชน์


การมอบทุนในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ทางมูลนิธิฯ ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษา รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน ซึ่งมูลนิธิฯ ตระหนักดีว่าการศึกษาเป็นพื้นฐานสำคัญ ในการพัฒนาทักษะความรู้ ความสามารถที่จะนำไปสู่การสร้างอนาคตที่ดีให้แก่เยาวชน อันจะเป็นบุคลากรสำคัญในการนำพาประเทศให้เจริญก้าวหน้า จึงได้ดำเนินกิจกรรมมอบทุนการศึกษา และยกระดับคุณภาพชีวิตแก่เยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องมากว่า 32 ปี รวมทั้งสิ้นกว่า 19,000 ทุน รวมเป็นมูลค่า 189,594,100 บาท โดยในปี 2566 มูลนิธิฯ ได้สนับสนุนทุนตามรายละเอียดดังนี้


ทุนสนับสนุนด้านการศึกษา 4 ภาค
• ภาคเหนือ : มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง​จำนวน 278 ทุน ​มูลค่า 3.13 ล้านบาท
o โครงการเยาวชนไทยวันพรุ่งนี้
o โครงการทุนการศึกษาเยาวชนภาคเหนือ
• ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวน 159 ทุน ​มูลค่า 3.60 ล้านบาท
o ทุนการศึกษานักเรียน นักศึกษาขาดแคลนทุนทรัพย์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
o ทุนการศึกษานักเรียนพยาบาล ภายใต้โครงการตำรวจตระเวนชายแดน
• ภาคตะวันออก : มหาวิทยาลัยบูรพา​จำนวน 54 ทุน ​มูลค่า 1.51 ล้านบาท
o ทุนการศึกษานิสิตขาดแคลนทุนทรัพย์ ในภาคตะวันออก
• ภาคใต้ : มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต​จำนวน 130 ทุน ​มูลค่า 1.68 ล้านบาท​
o ทุนการศึกษานักศึกษาขาดแคลนทุนทรัพย์ ในภาคใต้
• ทุนอาชีวศึกษา 4 ภาค​​จำนวน 80 ทุน​มูลค่า 1.60 ล้านบาท
o ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.)
o ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)


มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย มุ่งเน้นการช่วยเหลือสังคมมาอย่างต่อเนื่อง โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมให้เยาวชนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเหมาะสม และเท่าเทียม รวมถึงช่วยให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล ได้มีโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิต และเติบโตด้วยความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นรากฐานที่แข็งแรงในการพัฒนาประเทศ อันจะนำไปสู่การยกระดับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงช่วยขับเคลื่อนสังคมไทยให้เข้าใกล้เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ต่อไปในอนาคต

“โตโยต้า ร่วมขับเคลื่อนอนาคต”

เชียงใหม่ คต. จัดประกวด “Agri Plus Award 2024” ชูสินค้านวัตกรรมเกษตร สร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อต่อยอดทางการค้า เน้นผู้ประกอบการอยู่ได้อย่างยั่งยืน(คลิป)

กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จัดโครงการ Agri Plus Award 2024 เร่งผลักดันสินค้านวัตกรรมเกษตรเข้าสู่ตลาดในไทยและต่างประเทศ หนุนผู้ประกอบการ นักศึกษา ตลอดจนนักวิจัยใช้นวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการได้อย่างเป็นรูปธรรม สามารถเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน

นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า โครงการสร้างสรรค์มูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรนวัตกรรมสู่ตลาดสากล (Agri Plus Award 2024) เป็นการจัดประกวดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากสินค้าเกษตรไทยระดับประเทศ ครั้งที่ 3 หลังการจัดประกวดมาอย่างต่อเนื่องในปี 2019 และปี 2022 ตามลำดับ เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสินค้าเกษตรนวัตกรรม เจ้าของผลิตภัณฑ์ นักเรียน นิสิต นักศึกษา นักวิจัย และประชาชนทั่วไป ได้แสดงศักยภาพในการพัฒนาสินค้าเกษตรไทยด้วยนวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้แก่สินค้าได้อย่างเป็นรูปธรรม ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ขยายช่องทางจัดจำหน่าย อีกทั้งจะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่เกิดแรงบันดาลใจในการนำนวัตกรรมเข้ามาประยุกต์ใช้พัฒนาสินค้าเพื่อสร้างมูลค่าให้สูงขึ้น นำไปสู่การเพิ่มรายได้ของผู้ประกอบการอย่างยั่งยืน

ซึ่งจากการประกวดครั้งล่าสุดที่ผ่านมามีผู้ให้ความสนใจส่งผลงานเข้าร่วมประกวดถึง 165 ผลงาน แบ่งเป็นประเภทอาหาร 105 ผลงาน และประเภทไม่ใช่อาหาร 60 ผลงาน ผลงานที่ส่งเข้าประกวด อาทิ ผลิตภัณฑ์ประเภทขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาหารสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ของใช้เพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น

โครงการดังกล่าวมุ่งเน้นการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้หลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” ที่ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมสินค้านวัตกรรมเกษตรของไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่มีความหลากหลาย โดยผลักดันให้มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาพัฒนาต่อยอดสินค้าเกษตรขั้นต้นให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าสูง ใช้กลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG นำองค์ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ในการผลิตสินค้า อันจะนำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการ และส่งเสริมให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

สำหรับการประกวด Agri Plus Award 2024 แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร (Food Innovation) กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร (Lifestyle Innovation) และกลุ่มผลิตภัณฑ์หรือบริการเกษตรนวัตกรรมใหม่ (Rising Star) เกณฑ์การตัดสินนั้นจะพิจารณาจากการพัฒนาสินค้าและอรรถประโยชน์ การประยุกต์ใช้นวัตกรรม การสร้างมูลค่าเพิ่มในมิติอื่นๆ อาทิ บรรจุภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ การสื่อสาร การตลาด การดําเนินธุรกิจตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG การดําเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน และศักยภาพด้านการค้า (ในประเทศและต่างประเทศ)

ผู้ชนะเลิศทั้ง 3 ประเภทจะได้รับถ้วยรางวัลชนะเลิศ ส่วนรองชนะเลิศจะได้รับโล่รางวัล โดยทุกท่านที่ได้รับรางวัลจะยังได้เกียรติบัตรพร้อมโอกาสในการเข้าร่วมกิจกรรมด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ต่างๆ ของสถาบันส่งเสริมสินค้าเกษตรนวัตกรรม กรมการค้าต่างประเทศ ทั้งนี้ จะจัดให้มีพิธีประกาศผลและมอบรางวัลในเดือนพฤษภาคม 2567 โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี ผู้สนใจสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 11 เมษายน 2567 สอบถามรายละเอียดการสมัครเข้าร่วมโครงการ โทร. 089-519-5666 ติดตามข้อมูลข่าวสาร ได้ทางเว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th หรือ Facebook: กรมการค้าต่างประเทศ/apiinspire

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโปรดติดต่อ คุณน้ำเพชร มิตรเมฆ โทร. 089 488 3942

เชียงใหม่ “สีจระเข้” แอ่วเหนือ จับมือ ร้าน ต.โฮม จ.เชียงใหม่ เปิด SHOP SEE JORAKAY นวัตกรรมสีทาบ้าน ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (คลิป)

“สีจระเข้” นวัตกรรมสีทาบ้านจากวัตถุดิบธรรมชาติ ผสานกับเทคโนโลยีกราฟีน วัสดุแห่งอนาคต ให้ความแข็งแรง ทนทาน ปลอดภัยกับผู้ใช้งานและผู้อยู่อาศัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บุกตลาดภาคเหนือ เปิด SHOP SEE JORAKAY ผนึก ร้าน ต.โฮม ศูนย์รวมวัสดุก่อสร้าง ครบครัน ทันสมัย แห่งเมืองเชียงใหม่ ครบครันด้วยสินค้าจาก SEE JORAKAY (สีจระเข้) ทั้ง 4 กลุ่ม ได้แก่ Natural Color, Art Color, Texture Color และ Heritage Color ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าคนรักบ้าน และเจ้าของโครงการที่ให้ความสำคัญกับงานดีไซน์ ควบคู่กับการใส่ใจสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม

SEE JORAKAY (สีจระเข้) กลุ่ม Natural Color เป็นนวัตกรรมสีทาบ้านภายใต้แนวคิด “สีปลอดภัย สีธรรมชาติ สีจระเข้” ผลิตจากวัตถุดิบที่มีความปลอดภัย คุณภาพสูง ผสานเข้ากับนวัตกรรมเฉพาะของจระเข้ ทำให้ได้สีที่มีความสบายตา ปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัย ไร้กลิ่นฉุน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยสีจระเข้ได้ให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของบ้าน เจ้าของโครงการ หรือแม้แต่กลุ่มสถาปนิก และช่างผู้ใช้งาน

นอกจากนี้ สีจระเข้ ยังเป็นรายแรกในประเทศไทยที่เลือกใช้วัตถุดิบในการผลิตที่มาจากไลม์สโตนหรือ หินปูนธรรมชาติ จากประเทศสเปน มีความปลอดภัยต่อสุขภาพ ไม่มีกลิ่นฉุน ไม่เป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัย และที่สำคัญดีต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้งานที่ห่วงใยสุขภาพ และคนรุ่นใหม่ ที่มีความรักสุขภาพควบคู่ไปกับการรักสิ่งแวดล้อม เพราะสีจระเข้เป็นสีที่มีการเลือกสรรวัตถุดิบที่มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและผู้อยู่อาศัย ผลิตภายใต้แนวคิดที่คำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมในทุก ๆ กระบวนการ

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ SEE JORAKAY มี 4 กลุ่ม ได้แก่

1. Natural Color เป็นสีที่มีจุดเด่นที่เลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติผสานกับเทคโนโลยีกราฟีนที่ช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะพร้อมช่วยกระจายความร้อนทำให้อุณหภูมิภายในบ้านเย็น ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขั้นตอนการแห้งตัวของสี ปราศจากสารอินทรีย์ ระเหยง่าย (Non VOCs) และไม่มีสารก่อมะเร็ง (Non Formaldehyde) สามารถเข้าอยู่ได้ทันทีหลังจากทาสีเสร็จเรียบร้อย
2. Art Color เป็นสีที่ใช้สำหรับสร้างลวดลายสไตล์ลอฟท์และลายหินอ่อน ช่วยสร้างเอกลักษณ์เฉพาะให้กับผนังบ้าน โดยใช้อุปกรณ์สร้างลวดลายได้หลากหลาย เช่น ลูกกลิ้ง เกรียง โดยมาพร้อมเทคโนโลยีช่วยยับยั้งการเกิดราดำและตะไคร่น้ำ
3. Texture Color เป็นสีที่ผลิตจากมอร์ต้าชนิดไฮบริด และมีเทคโนโลยี 3D Texture ใช้สำหรับสร้างพื้นผิวที่มีมิติได้อย่างเป็นธรรมชาติ มีจุดเด่นที่ความแข็งแกร่งทนต่อรังสี UV ทนต่อไอเกลือทะเลใช้งานได้ยาวนานกว่า 15 ปี สามารถใช้สร้างลวดลายได้หลากหลายวิธี
4. Heritage Color เป็นวัสดุฉาบแต่งผิวที่คิดค้นขึ้นมาเพื่องานบูรณปฏิสังขรณ์สำหรับโบราณสถาน ปูชนียสถาน หรือสถานที่อันมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะ ด้วยเนื้อสีที่ผลิตจากไลม์สโตน ผสานเข้ากันกับเทคโนโลยีกราฟีน และนวัตกรรมการผลิตเฉพาะตัวของจระเข้ จึงทำให้ได้ สีจระเข้ Heritage Color วัสดุที่สามารถใช้ทดแทน “ปูนหมัก ปูนตำ” สำหรับงานบูรณะ โดยไม่ทำลายพื้นผิวเดิมของอาคาร เพื่อให้สถานที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และคุณค่าทางความทรงจำ กลับมาสวยงดงาม ท้าทายกาลเวลา ให้คนรุ่นหลังได้มาศึกษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์สืบต่อไป

และเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากยิ่งขึ้น SEE JORAKAY ได้ร่วมกับ ร้าน ต. โฮม ศูนย์รวมวัสดุก่อสร้าง ครบครัน ทันสมัย จ.เชียงใหม่ เปิดช็อปสีจระเข้อย่างเป็นทางการในจังหวัดเชียงใหม่ โชว์สัมผัสประสบการณ์แห่งสีสัน และลวดลายกับสีจระเข้ ด้วยเทคโนโลยีจากสีธรรมชาติ พร้อมสัมผัสประสบการณ์แห่งแรงบันดาลใจ ด้วยเทคนิคความรู้ดี ๆ จากผู้เชี่ยวชาญจากสีจระเข้ นำโดย คุณวิกิจ กันฉาย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานขายในประเทศ, คุณสุภกิตติ์ เตชดนัย ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจกลุ่มสี และคุณพงศธรณ์ สุดาจันทร์ วิทยากรอาวุโส ศูนย์ฝึกอบรม จระเข้ อะคาเดมี่ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด มาร่วมอัปเดตผลิตภัณฑ์ ภายใต้หัวข้อ “Paint The New Norm” เพ้นท์มาตรฐานใหม่ให้ชีวิตสีปลอดภัย สีธรรมชาติ สีจระเข้ อีกด้วย

พบกับสีคุณภาพพร้อมทีมที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำ และทีมช่างพร้อมให้บริการงานทาสี แบบมืออาชีพ มีครบ จบที่เดียว ทั้งสินค้า และบริการ ได้แล้ววันนี้ “ต.โฮม จ.เชียงใหม่” ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมของสีจระเข้ได้ทาง www.seejorakay.com

เชียงใหม่ สว.นำคณะกรรมการมูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ มูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนาเข้าพบกงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่เพื่อหารือการนำรูปหล่อองค์ครูบาเจ้าศรีวิชัย

สมาชิกวุฒิสภานำคณะกรรมการมูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ มูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนาเข้าพบกงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่เพื่อหารือการนำรูปหล่อองค์ครูบาเจ้าศรีวิชัยพร้อมชุดประกาศเกียรติคุณไปประดิษฐานที่วัดในประเทศญี่ปุ่น เพื่อหนุนเสริมการเผยแพร่และประกาศเกียรติคุณองค์ครูบาเจ้าศรีวิชัย ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก


วันที่ 14 มีนาคม 2567 ดร.ปรีชา บัววิรัตน์เลิศ สมาชิกวุฒิสภาและดร.กิตติพัฒน์ สุวรรณชิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น จังหวัดเชียงใหม่พร้อมด้วยคณะกรรมการมูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ และมูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนา เข้าพบนาย ฮิกุจิ เคอิจิ (Mr.HIGUCHI Keiichi) กงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่ ที่สถานกงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ในโอกาสเข้าพบคารวะเพื่อหารือเรื่องการเตรียมประกาศเกียรติคุณเพื่อการหนุนเสริมครูบาเจ้าศรีวิชัยให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก (ยูเนสโก) โดยมูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ มูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนา และคณะกรรมการโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชนภาคเหนือ (ตอนบน) เตรียมจัดพิธีเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในวันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน 2567 ที่ วิหารหลวง หลวงปู่ โครงการฮิมมา เพรสทีจ ลิฟวิ่ง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เพื่อมอบรูปหล่อองค์พระครูบาเจ้าศรีวิชัยหน้าตักขนาด 30 นิ้ว 9 นิ้ว 5 นิ้ว พร้อมหนังสือสวดมนต์บทบารมี 30 ทัศ และหนังสือพระไตรปิฎก ให้กับคณะธรรมทูตและตัวแทนประเทศไทยนำไปประดิษฐาน ในบางประเทศในแถบเอเซีย ยุโรป อเมริกาและออสเตรเลีย

ดร.ปรีชา บัววิรัตน์เลิศ สมาชิกวุฒิสภาเปิดเผยว่าครูบาเจ้าศรีวิชัยมีบทบาทสำคัญในการสืบสานพระพุทธศาสนา โดยในอดีตท่านได้ร่วมกับทางราชการและและประชาชนทำการบูรณะซ่อมแซมวัดในพื้นที่ภาคเหนือกว่า 300 วัด ส่งผลให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าเลื่อมใสในจริยวัตรและปฏิปทาของท่าน จึงมีโครงการเสนอครูบาเจ้าศรีวิชัยให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกขององค์การยูเนสโก ทางด้านการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรมและสันติภาพ โดยจะต้องยกร่างคำขอฉบับสมบูรณ์ต่อยูเนสโก ให้มีการประกาศและเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 150 ปีชาตกาลหรือวันเกิดครบ 150 ปีครูบาเจ้าศรีวิชัยในปี พ.ศ.2571 ในการนี้ มูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ มูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนา รวมทั้งคณะกรรมการโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชนภาคเหนือ (ตอนบน) ได้ร่วมสนับสนุนกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการร่วมจัดสร้างองค์ครูบาเจ้าศรีวิชัยขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่บริเวณวัดดอยติ ในปีพุทธศักราช 2551 การจัดทำแผนแม่บทการเสนอชื่อครูบาเจ้าวิชัยให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก (ยูเนสโก) จนสามารถผลักดันให้เป็นแผนแม่บทของรัฐบาลในสมัยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี2566

นอกจากนี้เพื่อเป็นการหนุนเสริมการเสนอชื่อครูบาเจ้าศรีวิชัยให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก (ยูเนสโก) สอดคล้องตามองค์ประกอบคำขอการเสนอชื่อต่อองค์กรดังกล่าวเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ตลอดจนยกย่อง ประกาศเกียรติคุณครูบาเจ้าศรีวิชัยไปยังนานาอารยะประเทศ จึงกำหนดให้มีการจัดสร้างชุดประกาศเกียรติคุณครูบาเจ้าศรีวิชัยอันประกอบด้วย องค์รูปหล่อครูบาเจ้าศรีวิชัย ขนาดหน้าตัก ๓๐ นิ้ว ขนาด ๙ นิ้ว ขนาด ๕ นิ้วและเหรียญบูชาอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงจัดทำเอกสารคำบูชาพระรัตนตรัย พระคาถาบารมี ๓๐ ทัศ เพื่อเผยแพร่ไปยังภาคส่วนต่าง ๆ ของโลก ด้วยกระบวนการพระธรรมทูต ที่มีผู้แทนจากมูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ มูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนาและผู้ที่มีจิตศรัทธาประสานนำชุดประกาศเกียรติคุณฯ ไปประดิษฐานยังภาคส่วนต่าง ๆ ของประเทศไทยและนานาอารยะประเทศ
ที่ประเทศญี่ปุ่นได้รับการติดต่อที่จะนำองค์ครูบาเจ้าศรีวิชัยไปประดิษฐาน 2 วัดได้แก่ วัดพุทธรังษี โตเกียวและวัดป่าพุทธรังษี อิบารากิ โดยมี คุณวรัณญา วีนะกุล ,คุณวรรณวิมล เศวตสมภพ, และคุณเอกรัตน์-คุณวรพจน์ วงษ์แสงอรุณศรีทำหน้าที่เป็นธรรมทูตในการนำชุดประกาศเกียรติคุณฯไปเผยแพร่ คาดว่าจะนำไปประดิษฐานที่ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 31 พฤษภาคม 2567


โอกาสนี้ นาย ฮิกุจิ เคอิจิ (Mr.HIGUCHI Keiichi) กงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่ได้ให้ความสนใจการดำเนินงานดังกล่าวและกล่าวว่า การมาประจำที่จังหวัดเชียงใหม่ครั้งนี้ได้มีโอกาสไปวัดและได้สัมผัสกับวัฒนธรรม ประเพณีที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาของไทย และยิ่งตระหนักถึงความสำคัญของพระพุทธศาสนาของคนไทย เมื่อได้มีโอกาสเข้าสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่มาจากประเทศอินเดีย และคิดว่าในหลายๆประเทศน่าจะมีการสอนเรื่องพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะในโซนเอเชียและยุโรป ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปตามยุคสมัยแต่หลักๆน่าจะเกี่ยวข้องกัน ดังนั้นในการที่จะนำครูบาเจ้าศรีวิชัยไปประดิษฐานที่ประเทศญี่ปุ่นเพื่อประกาศเกียรติคุณครูบาเจ้าศรีวิชัยในครั้งนี้ คาดว่าจะเกิดการแลกเปลี่ยนทั้งในแง่ของศาสนาและวัฒนธรรมตลอดจนความเข้าใจของชาวพุทธที่อยู่ในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น


กงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่กล่าวต่อว่า นอกจากสถานกงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่เรายังมีสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยอีก 1 แห่งซึ่งท่านเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยท่านใหม่เพิ่งย้ายมาจากประเทศฮังการี่ เป็นโอกาสอันดีที่จะนำเรื่องต่างๆเหล่านี้ส่งต่อให้ท่านเพื่อให้รับทราบถึงความสำคัญของการจัดกิจกรรมเพื่อเผยแพร่ศาสนาในครั้งนี้

เชียงใหม่ เทศบาลเมืองแม่โจ้ เชียงใหม่ประสบความสำเร็จส่งเสริมให้ชุมชนคัดแยกขยะ ภายใต้ 3 R (คลิป)

เทศบาลเมืองแม่โจ้ เชียงใหม่ประสบความสำเร็จส่งเสริมให้ชุมชนคัดแยกขยะ ภายใต้ 3 R คือใช้น้อย ใช้ซ้ำ และนำกลับมาใช้ใหม่ ทำให้เสียค่าใช่จ่ายในการกำจัดขยะลดลง จากปีละ 15 ล้านบาทเหลือ 10 ล้านบาท และขยะยังนำไปใช้ประโยชน์ได้อีก สร้างรายได้ให้ชุมชน


นายชัชวาล ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับ นายประหยัด ทรงคำ นายกเทศบาลเมืองแม่โจ้ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เปิดงานมหาดไทย ปักธงประกาศความสำเร็จ 1 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1 ธนาคารขยะ ที่เทศบาลเมืองแม่โจ้ ซึ่งเป็นตัวแทนของจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีธนาคารขยะครบถ้วนทุกแห่ง เพื่อจัดระบบจัดการ และกำจัดขยะมูลฝอยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการนำแนวคิด ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน มาใช้ในการจัดการ สิ่งปฎิกูลและขยะมูลฝอย ภายใต้หลักการ 3 R คือใช้น้อย ใช้ซ้ำและนำกลับมาใช้ใหม่ พร้อมรณรงค์ สร้างความรับรู้ ความเข้าใจ และจิตสำนึกให้ประชาชน มีส่วนร่วมในการลดปริมาณขยะ รณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจ และจิตสำนึกให้ประชาชน มีส่วนร่วมในการลดปริมาณขยะ และคัดแยกขยะที่สามารถนำไปรีไซเคิล เป็นสินค้าในรูแบบต่างๆ ไปจำหน่าย เพื่อให้มีรายได้กลับคืนสู่ชุมชน ทำให้เป็นแบบอย่าง ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ 1 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1 ธนาคารขยะ โดยนำสินค้าแต่ละชุมชน ที่รีไซเคิลจากขยะ นำมาจัดแสดง และจำหน่าย

นายประหยัด ทรงคำ นายกเทศบาลเมืองแม่โจ้ บอกว่า ทุกชุมชนมีการคัดแยกขยะ นำขยะมารีไซด์เคิลและใช้ประโยชน์ ทำให้ชุมชนมีรายได้ และยังเป็นการลดรายจ่ายค่าจัดเก็บขยะของเทศบาลเมืองแม่โจ้ ที่แต่ละปีเสียค่าใช้จ่าย ในการกำจัดขยะมากถึงปีละ 15 ล้านบาท ปัจจุบันลดลงเหลือแค่ 10 ล้านบาท หรือประหยัดถึง 5 ล้านบาท และขยะก็จะมีเอกชนรับซื้อ กระป๋องเครื่องดื่มรับซื้อกิโลกรัมละ 54 บาท รวมทั้งขยะชนิดอื่นๆ รวมทั้งรับซื้อใบไม่นำมาทำปุ๋ยหมักลดการเผา และฝุ่นควันPM2.5 ขณะที่วันนี้ พื้นที่เทศบาลเมืองแม่โจ้ เต็มไปด้วยฝุ่นควันที่ลอยเข้ามาในพื้นที่ หรือ PM2.5 สูงถึง 172 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

เชียงใหม่ เทศบาลนครเชียงใหม่ เร่งขุดลอกผักตบชวา ในคลองแม่ข่า เพื่อปรับภูมิทัศน์ ขยายคลองแม่ข่า เป็นโอตารุเฟส 2 (คลิป)

เทศบาลนครเชียงใหม่ เร่งขุดลอกผักตบชวา ในคลองแม่ข่า เพื่อปรับภูมิทัศน์ ขยายคลองแม่ข่า เป็นโอตารุเฟส 2 เริ่มจากสะพานระแกงคลองโอตารุ ขึ้นไปทางทิศเหนือ อีกประมาณ 450 เมตร หรือถึงสะพานศรีดอนไชย เพื่อเชื่อมต่อไปยัง ย่านไนน์บาร์ซ่า ส่งเสริมการท่องเที่ยว เปลี่ยนคลองน้ำเสีย เป็นคลองน้ำใส


เทศบาลนครเชียงใหม่ นำเรือตัก กำจัดผักตบชวา บริเวณคลองแม่ข่า จากสะพานศรีดอนไชย ไปจนถึงสะพานระแกง ในตัวเมืองเชียงใหม่ ระยะความยาวประมาณ 450 เมตร เพื่อก่อสร้าง และปรับภูมิทัศน์ สองฝั่งคลอง ให้สวยงาม ตามโครงการคลองสวยน้ำใส ให้คลองแม่ข่า เฟส 2 ขณะนี้เริ่มลงมือก่อสร้าง ทำนั่งร้าน บริเวณริมตลิ่ง เพื่อทำเป็นทางเดิน รวมทั้งเจรจากับประชาชน ที่มีบ้านเรือน อยู่สองฝั่งคลอง ให้ปรับภูมิทัศน์ เปลี่ยนจากหลังบ้าน ให้เป็นหน้าบ้าน เหมือนคลองแม่ข่า ที่ผ่านชุมชนหัวฝาย และชุมชนกำแพงงาม จนกลายเป็นคลองโอตารุ เมืองไทย เป็นแหล่งท่องเที่ยว และเป็นจุดเช็คอินของนักท่องเที่ยว จนเทศบาลนครเชียงใหม่ ได้รับรางวัล จากหลายหน่วยงาน และมีองค์กรปกครองท้องถิ่น จากทั่วประเทศ มาศึกษาดูงาน


สำหรับเฟส 2 นาย อัศนี บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ บอกว่า ก็จะมีการปรับภูมิทัศน์คลองแม่ข่าเฟส2 ขณะนี้เริ่มงานแล้ว เพื่อเชื่อมต่อจาก คลองโอตารุ เฟสแรก มีทางเดินเชื่อมต่อกันไปถึงสะพานศรีดอนไชย และสามารถเดิน ไปถึงแหล่งท่องเที่ยว ย่านไนน์บาร์ซ่าได้ แต่อาจยังต้องใช้เวลา ให้กับบ้านเรือนประชาชน ที่อยู่ริมสองฝั่งคลอง ได้ปรับตัวและปรับภูมิทัศน์หลังบ้านเป็นหน้าบ้าน และเตรียมพบกับคลองแม่ข่า เฟส2 นอกจากนั้น สำนักงบประมาณ ยังได้อนุมัติงบประมาณในการขยาย เฟส ที่ 3 อีก 2,700 เมตร

เชียงใหม่ โรงเรียนแม่คือวิทยาอำเภอดอยสะเก็ด จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรและปัจฉิมนิเทศนักเรียนที่จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2566 (คลิป)

โรงเรียนแม่คือวิทยา ตำบลแม่คือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรและปัจฉิมนิเทศนักเรียนที่จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2566 รุ่น เชิญขวัญ

(12 มึ.ค.) ที่ห้องประชุมชั้น 3 อาคารศรีศุภอักษร โรงเรียนแม่คือวิทยา ตำบลแม่คือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรและปัจฉิมนิเทศนักเรียนที่จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2566 รุ่น เชิญขวัญ (ผู้เจริญด้วยศิริมงคล) มีพิธีบายศรีสู่ขวัญตามประเพณีล้านนา โดยนายอุดม อิ่นคำ ประธานคณะกรรมการสถานศึกษาได้พร้อมมอบเกียรติให้กับนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเด่น และนักเรียนที่มีจิตอาสาช่วยเหลืองานโรงเรียนเป็นอย่างดี และจากนั้น นายสุริยน สุริโยตร ผู้อำนวยการโรงเรียนแม่คือวิทยา ได้มอบวุฒิบัตรให้แก่นักเรียนที่สำเร็จการศึกษา

เชียงใหม่ เทศบาลตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จัดยิ่งใหญ่ งานโครงการของดีตำบลขี้เหล็ก ครั้งที่ 4 ประจำปี พ.ศ.2567 (คลิป)

เทศบาลตำบลขี้เหล็ก อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ จัดยิ่งใหญ่ งานโครงการของดีตำบลขี้เหล็ก ครั้งที่ 4 ประจำปี พ.ศ.2567 จัดแข่งขันลาบเนื้อควาย ชาวบ้านร่วมงานคึกคัก

ผู้สื่อข่าวรายงานที่ลานด้านหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลขี้เหล็ก อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ นายเกียรติศักดิ์ มาลา นายกเทศมนตรีตำบลขี้เหล็ก ในฐานะประธานจัดงานของดี ครั้งที่ 4 ต.ขี้เหล็ก และร่วมกิจกรรมการประกวดอาหารพื้นบ้าน ต.ขี้เหล็ก ประเภทลาบเมือง (ลาบเนื้อควาย) และมีกรรมการผู้ตัดสินนำโดยนายจรัล ไชยวงค์ เจ้าของร้านลาบต้นยาง สาขาสันผีเสื้อเชียงใหม่ เป็นผู้ร่วมตัดสินให้รางวัล จัดไปเมื่อวันที่ 7-9 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา (แข่งขันลาบวันที่ 9 มี.ค.)

ผลการแข้งขันลาบควาย ผู้ชนะที่ 1 คือ หมู่ 3 บ้านห้วยน้ำริน ที่ 2 หมู่ 1 บ้านขี่เหล็กน้อย ที่ 3 หมู่ 5 บ้านต้นขาม และรางวัลชมเชยได้แก่ หมู่ 2 และ หมู่ 4,6,7,8

ส่วนรางวัลการประกวดพานบายศรี รางวัลที่ 1 ได้แก่ หมู่ 4 บ้านซาง ที่ 2 หมู่ 1 บ้านขี่เหล็กน้อย ที่ 3 หมู่ 6 บ้านขี้เหล็กหลวง และรางวัลชมเชย หมู่ 7 บ้านปากทางสะลวง และยังมีการประกวดอื่นๆอีกจำนวนมาก เช่นการประกวดซุ้มวัฒนธรรม การประกวดแข่งขันส้มตำลีลา การประกวดไก่ชนสวยงาม การประกวดกล้วยชนิดต่างๆเป็นต้น

การจัดงานครั้งนี้ทางเทศบาลตำบลขี้เหล็กมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการนำของดีในในที่ตำบลขี้เหล็กทั้งหมดออกมาให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติได้ชื่นชมซื้อสิ้นค้า และในหมู่บ้านยังมีเมนูอาหารอร่อยจำนวนมาก ได้ให้นักท่องเที่ยวได้รับประทานเมนูอาหารอร่อยในพื้นถิ่น ต.ขี้เหล็ก อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ หากท่านใดเดินทางไปพื้นที่ ต.ขี้เหล็ก ก็แวะเที่ยว ชิม ช้อป ใช้ กับสินค้านานาชนิดได้ทุกวัน.